นายกฯ เปิดประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก ยันพร้อมหนุนบทบาทผู้หญิงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการเมือง เผยตื่นเต้นอยู่ท่ามกลางสาวๆหลายประเทศ ชี้สตรีมี 4 บทบาทพูดต้องเชื่อ
วันที่ 23 มิ.ย. ที่โรงแรมเซ็นทาราฯ เซ็นทรัลเวิลด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก ประจำปี 2565 โดยช่วงแรกกล่าวกับผู้ร่วมงานว่า นายกฯค่อนข้างตื่นเต้น เพราะวันนี้อยู่ท่ามกลางสาวๆหลายประเทศที่อยู่ทั้งห้อง ทั้งนี้ตื่นเต้นเพราะผู้หญิงมีหลายบทบาท อาทิ 1.เป็นภรรยา 2.เป็นแม่ของลูก 3.หารายได้เข้าครอบครัว และ 4.เป็นผู้รักษาความสงบ เพราะเมื่อผู้หญิงพูดต้องเชื่อ เพราะมีการกลั่นกรองมาแล้ว ซึ่งตนในฐานะเจ้าภาพก็ยินดีต้อนรับ สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลกนี้ทำให้เห็นถึงศักยภาพและพลังของสตรี ซึ่งเราพร้อมขับเคลื่อนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
อย่างไรก็ตาม นายกฯ พูดติดตลกว่า ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี เมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ตามกันไม่ค่อยเจอ แต่วันนี้ตามเจอ ฉะนั้นผู้ชายก็ระวังหน่อย แต่ตนเชื่อว่าผู้ชายไม่กล้าแล้ว เพราะผู้หญิงเข้มแข็งขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองการปกครอง วันนี้สถิติประเทศไทยจำนวนผู้หญิงผู้ชายใกล้เคียงกัน เด็กเกิดน้อยลง ฉะนั้นไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายต้องแข็งแรง มีความสามารถเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงไทยยังคงมีสตรีที่ไม่สามารถเข้าถึงความเท่าเทียมอยู่มาก ซึ่งรัฐบาลตระหนักและมองเห็น จึงพยายามพัฒนาให้เกิดความเท่าเทียมและยุติความรุนแรงในสตรี โดยอยากเห็นการยุติความรุนแรงในสตรี และเห็นสังคมช่วยกันขับเคลื่อน โดยขอร้องเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนหนุนบทบาทสตรีให้มีความเสมอภาคในทุกด้าน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังกล่าวปาฐกถาเสร็จ นายกฯ ได้เดินลงจากเวทีและทักทายผู้ร่วมงาน จากนั้นเดินทางกลับทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
‘ประยุทธ์’ งดจ้อสื่อโยนโฆษกแจงประเด็นร้อน
ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 2/2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยมอบหมายให้ ธนกร วังบุญคง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามที่สื่อมวลชนได้ส่งไปก่อนเลิกประชุมแทน
โฆษกรัฐบาล เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่สินค้าอุปโภคบริโภคเตรียมขึ้นราคานั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์พยายามดูแลเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภคให้มากที่สุด
ส่วนกรณีรถโดยสารจะหยุดเดินรถเนื่องจากราคาน้ำมันแพง นายกฯ ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีการลดจำนวนการเดินรถ โดยกระทรวงคมนาคมกำลังเจรจาอยู่ ซึ่งตอนนี้มีแผนสำรองไว้แล้วหากเกิดผลกระทบกับประชาชน โดยให้ บขส.และ รฟท.เตรียมการไว้
เมื่อถามว่ามองตอนนี้รัฐบาลถูกกดดันเรื่องพลังงานหรือไม่ โฆษกรัฐบาล ระบุว่า เรื่องพลังงานกระทบหลายส่วน โดยเฉพาะค่าครองชีพประชาชน แต่นายกฯ ได้สั่งการล่วงหน้ามาก่อนในเรื่องการแก้ปัญหาพลังงานโดยติดตามอย่างใกล้ชิด และสั่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาตลอด ฉะนั้นตนเชื่อว่านายกฯ ทำเต็มที่
โฆษกรัฐบาล ชี้แจงกรณีที่มีการวิจารณ์ทำไมต้องให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้ามาเป็นตัวหลักในการแก้ปัญหาหลายเรื่อง (พลังงานและวิกฤตอาหาร) ว่า นายกฯ มองว่าในอนาคตสถานการณ์วิกฤตต่างๆ อยู่นอกประเทศจะส่งผลกระทบมาถึงไทย โดยการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้เสร็จในเร็ววัน ฉะนั้นนายกฯ จึงสั่งการให้ สมช.ไปเป็นเจ้าภาพในการเตรียมข้อมูลทั้งเรื่องทหาร พลังงานและทุกมิติ ซึ่งก็มีอีกหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นสิ่งใหม่ ทั้งนี้ตนเชื่อว่าไทยแก้ปัญหาได้ดี เพราะหากไปดูในหลายประเทศเขาก็ขอความร่วมมือประชาชนปิดไฟตั้ง 2 ชั่วโมงต่อวัน
ส่วนกรณีพบการแพร่ระบาดโรคฝีดาษลิงมาถึงสิงคโปร์ นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าระวัง คัดกรองและเตรียมความพร้อมทุกด้าน แต่ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนก โดยให้ให้ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด
โฆษกรัฐบาล กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมชี้แจงและฝากให้รัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายเตรียมพร้อมเรื่องข้อมูลเพื่อชี้แจงประชาชน ส่วนที่ฝ่ายค้านขอใช้เวลา 5 วัน ตนมองว่า ช่วงนี้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาให้ประชาชน เนื่องจากผลกระทบจากสงครามรัสเซียยูเครนและโควิด ซึ่งตนเข้าใจว่าคณะรัฐมนตรีก็มีการประชุม ครม.อยู่ถ้า 5 วันมันจะนานไปไหม ซึ่งเรื่องนี้ทางวิปรัฐบาลก็จะมีการหารือกันก่อน โดยย้ำว่านายกฯ พร้อมชี้แจงทุกเมื่อ และทีมโฆษกรัฐบาล ก็เตรียมพร้อมชี้แจงด้วยเช่นกัน
เมื่อถามว่า ทำไมช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ดูสงวนท่าทีไม่ค่อยให้สัมภาษณ์พูดคุยเท่าไหร่ โฆษกรัฐบาล ปฏิเสธว่า คงไม่ ซึ่งนายกฯมอบหมายตน และบางครั้งนายกฯ งานเยอะมากต้องทำงานหลายอย่าง รวมถึงลงพื้นที่ไปดูโครงการต่างๆ พร้อมปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติไม่ใช่ปรับท่าทีแต่อย่างใด