วันนี้ (16 ก.พ.2566) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเมินการอภิปรายของฝ่ายค้านในวันแรก ว่า การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้ดีบรรลุเป้าหมาย นำเอาข้อเท็จจริง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นมาอภิปรายในสภา เพื่อส่งต่อให้ ครม.พิจารณาและชี้ว่ากลายเรื่องจากการอภิปรายสามารถนำไปกล่าวหาตามมาตรา 151 ได้ แต่การอภิปรายเมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ไม่ได้กล่าวหาว่าใครผิดอย่างไร แต่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในบ้านเมืองที่เกิดความเสียหาย ซึ่ง ครม. มีหน้าที่บริหารโดยตรงจึงต้องเข้าไปดู
ประเด็นที่มีหลักฐานชัดสามารถนำไปยื่นองค์กรอิสระเพื่อพิจารณาเอาผิดต่อ ครม.ได้ ส่วนจะดำเนินการเมื่อใดต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม เช่น ประเด็นของ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดพรรคเพื่อไทย อภิปรายประเด็นที่มีความคาบเกี่ยวการประกอบธุรกิจที่ไม่ชอบ ที่มีการเอื้อประโยชน์ ส่วนในการกล่าวหารัฐมนตรี แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีความผูกพันเกี่ยวเนื่อง การเอาผิดที่สามารถดำเนินการได้ คือ การฝ่าฝืนจริยธรรม
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ และกล่าวว่าข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้านนั้นเก่า และเป็นการหาเสียงในสภาฯ ว่า ข้อมูลในการอภิปรายคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และฝ่ายค้านอภิปรายให้เห็นว่าเป็นประเด็นปัญหา และจะต้องถามต่อ ครม. เพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยย้ำว่าเรื่องการอภิปรายไม่ใช่เรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ แต่เกี่ยวข้องที่ว่าเป็นการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่
ส่วนการหาเสียงในสภาฯ นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ได้มีการประกาศจุดยืนของฝ่ายค้านแต่แรก ว่า จะมีการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนก่อนการเลือกตั้งว่าประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือก ซึ่งฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องหาเสียงในสภาฯ
ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน ไม่ขอวิจารณ์คำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกรณีบริษัทของหลานชายที่มีการอภิปรายวานนี้ แต่เชื่อว่าหากทุกคนได้รับฟังก็จะรู้ แม้นายกรัฐมนตรีจะมองว่าเป็นเรื่องเดิมในการอภิปราย แต่คำตอบของนายกรัฐมนตรีก็คือเรื่องเดิม ๆ เช่นกัน เป็นการตอบในลักษณะเลี่ยงว่าเป็นเรื่องของครอบครัว แต่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความผูกพันเกี่ยวข้องเป็นญาติกันได้ และมีความผูกพันที่เกี่ยวข้องทางด้านนิตินัยและกฎหมาย เนื่องจากพ่อของหลานชายดำรงตำแหน่งเป็น ส.ว.และเป็นทหารที่มีอำนาจหน้าที่ และเหตุที่เกิดขึ้นก็เกี่ยวข้องกับอำนาจและหน้าที่นั้นด้วย จึงทำให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธได้
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ทำมาแล้วตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แต่กลับเกิดความล้มเหลว ทำให้ฝ่ายค้านต้องนำมาบอกกับประชาชน ว่า รัฐบาลทำไม่สำเร็จ แต่ยังอาสาที่จะทำต่อ