แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว Reuters ขณะการเดินสายหาเสียงที่จังหวัดอุบลราชธานี โดย Reuters ระบุถึงแพทองธารในฐานะตัวแทนจากตระกูลมหาเศรษฐีของเธอ ซึ่งได้รับมรดกจากนโยบายประชานิยมและชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ และกำลังปรากฏตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่จะเอาชนะในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ด้วยเดิมพันจากความนึกหวนรำพึงถึงยุคอดีตของผู้เป็นพ่อ ที่จะสามารถชนะคะแนนเสียงของชนชั้นแรงงานนับล้านได้
Reuters ระบุว่า แพทองธาร ในวัย 36 ปี กำลังหาเสียงอย่างหนักในฐานที่มั่นพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นฐานเสียงของผู้นำการเมืองไทยจากตระกูลชินวัตร ด้วยความหวังที่ว่าจะจุดกระแสความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากผู้เป็นพ่ออย่าง ทักษิณ ชินวัตร และผู้เป็นอาอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยขึ้นสู่อำนาจจากชัยชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์แบบถล่มทลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
Reuters ชี้ว่า แพทองธารเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ให้คำมั่นสัญญาว่า พรรคเพื่อไทยจะสะสางงานที่ยังค้างคาจากการได้เคยเป็นรัฐบาลมาถึง 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมดกลับถูกตัดตอนด้วยคำตัดสินของศาล และการทำรัฐประหารโดยกองทัพที่ถูกบงการโดยสถาบันอนุรักษ์นิยมของไทย
“เราได้จัดการเพื่อแก้ไขทุกอย่างในปีแรก แต่แล้ว 4 ปีต่อมา เราถูกโค่นลงโดยการทำรัฐประหาร มันเลยมีสิ่งที่เรายังทำได้ไม่สำเร็จ” แพทองธารระบุกับ Reuters ในการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการกับสื่อต่างชาติเป็นครั้งแรก ก่อนการเลือกตั้งของไทยที่มีการคาดการณ์ว่าน่าจะถูกจัดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.นี้
“ดังนั้นเราเลยขึ้นไปแต่ละบนเวที เพื่อบอกประชาชนว่านโยบายของเราจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาอย่างไร แต่ด้วยผ่านการมีเสถียรภาพทางการเมืองเท่านั้น ที่จะช่วยให้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปในรูปแบบที่ยั่งยืน” แพททองธารระบุขณะการเดินสายหาเสียงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ ทักษิณและยิ่งลักษณ์ถูกโค่นลงจากอำนาจ ผ่านการทำรัฐประหารของกองทัพเมื่อปี 2549 และ 2557 ตามลำดับ แทนที่อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสองจะได้บริหารประเทศ และอยู่เห็นเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาขึ้นจากเดิม โดยปัจจุบันนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสองยังคงลี้ภัยด้วยตัวเองอยู่ในต่างประเทศ หลังจากทั้งสองถูกกระบวนการยุติธรรมภายใต้อำนาจรัฐประหารตัดสินโทษจำคุก และพยายามขัดขวางไม่ให้ทั้งสองกลับเข้ามาสู่วงการการเมืองไทยอีกครั้ง
Reuters ระบุว่า ผลจากการทำรัฐประหารดังกล่าวได้ส่งต่อมายังแพทองธาร ลูกสาวคนสุดท้องของทักษิณ ซึ่งใช้แนวทางเดียวกันผ่านนโยบายการเสนอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค และระบบรถไฟความเร็วสูงที่ถูกให้คำสัญญาเอาไว้มาอย่างยาวนาน และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการจัดการกับเหตุน้ำท่วมและภัยแล้ง
Reuters ชี้ว่า สโลแกนของพรรคเพื่อไทยอย่าง “คิดใหญ่ ทำเป็น” เล็งเป้าท้าทายกับรัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลังของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันของไทย ผ่านการบริหารประเทศด้วยนโยบายปฏิรูปอย่างช้าๆ นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนมาตั้งแต่ปี 2557
“ภาพต้องใหญ่และเราต้องสามารถจัดการกับปัญหาที่หมักหมมมานาน สิ่งเหล่านี้ต้องถูกจัดการให้หมด” แพทองธารกล่าวกับ Reuters อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าแพทองธารจะยังคงไม่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่จากผลสำรวจคะแนนนิยมที่มีต่อตัวเธอในฐานะนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจากหลายผลสำรวจนั้น แพทองธารยังคงมีคะแนนนำว่าที่แคนดิเดตคนอื่นๆ ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีคะแนนตามทิ้งห่างกันมาในอันดับที่ 2 ในผลสำรวจต่างๆ
Reuters ระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยคาดว่าจะได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่อาจประสบกับความลำบากในการเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากอิทธิพลของกองทัพเหนือวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งจะต้องลงมติร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของไทย
แพทองธารกล่าวกับ Reuters ว่า เธอปรึกษาเป็นประจำและยังคงใกล้ชิดกับพ่อของเธอ ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในดูไบ ทั้งนี้ แพทองบธารกล่าวว่าความกังวลหลักของเธอ คือการหาเสียงในขณะที่ตัวเองกำลังตั้งครรภ์เกือบ 7 เดือน “แต่ดิฉันโอเค” แพทองธารกล่าวกับ Reuters “นี่คือการตั้งท้องครั้งที่ 2 ของดิฉัน ดิฉันรู้ตัวดี ดิฉันจะไม่ฝืนตัวเองเกินไป”
Reuters กล่าวว่า แม้จะมีความนิยมในการเลือกตั้ง แต่ตระกูลชินวัตรกลับถูกเกลียดชังในประเทศไทยมากพอๆ กับที่พวกเขาได้รับความรัก อย่างไรก็ดี ตระกูลชินวัตรกลับถูกกล่าวหาจากฝ่ายตรงข้ามมานานแล้วว่าทำการเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องในทางธุรกิจ และซื้อคนจนด้วยนโยบายประชานิยมที่สิ้นเปลือง ทั้งนี้ ตระกูลชินวัตรปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวมาโดยตลอด
การเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดอีกครั้งระหว่างชนชั้นนำในประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ แพทองธารกล่าวกับ Reuters ว่า เธอยังคงกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการแย่งชิงอำนาจในประเทศที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอ ซึ่งรวมถึงการทำรัฐประหาร โดยแพทองธารกล่าวว่าการทำรัฐประหารนั้นส่งผลให้ประเทศไทย “ถอยหลัง”
“มันยังทำให้โลกมองประเทศของเราในมุมที่ต่างออกไป พวกเขาไม่ต้องการทำการค้ากับเรา มันลดโอกาสของทุกคน” แพทองธารกล่าวกับ Reuters “ประเทศเราถูกแช่แข็งมานาน ไม่ควรมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก ประเทศต้องก้าวไปข้างหน้า ประชาชนสมควรได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยย้ำ
ที่มา: