‘อุปกิต’ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แจงกรณีถูกเชื่อมโยงเครือข่ายยาเสพติด ตั้งข้อสงสัย ‘พ.ต.ท.มานะพงษ์’ เชื่อมโยงพรรคก้าวไกล เชื่อหวังดิสเครดิต-โหนกระแสเรียกคะแนนเสียงช่วงใกล้เลือกตั้ง น้ำตาซึมพนมมือสาบานครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ยันไม่รู้เบื้องหลัง ‘พีระพันธุ์’ เช่าตึกตั้งสำนักงานพรรครวมไทยสร้างชาติ
วันที่ 17 มี.ค. 2566 ที่อาคารรัฐสภา ฝั่งวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงถึงกรณีที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลชนซึ่งถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเชื่อมโยงในขบวนการค้ายาเสพติดและอาวุธสงคราม ว่า สื่อบางสื่อ และรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดตัดสินไปแล้วว่าตนผิด ซึ่งตอนแรกตนคิดว่า เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้วจึงมีความเชื่อมั่นและจะไม่ละเมิดก้าวล่วง โดยจะกล่าวถึงคดีของ ‘ทุน มิน ลัต’ ลูกเขยของตน ตามหมายจับวันที่ 9 ก.ย. 2565 และบันทึกการจับกุมวันที่ 19 ก.ย. 2565 ซึ่งระบุว่า ทุน มิน ลัต มีพฤติกรรมหลบหนีมาอยู่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ทั้งที่เป็นบ้านของตน และมีชื่อตนเป็นเจ้าของ โดยลูกเขยของตนได้พักอาศัยที่บ้านมันมานานแล้ว และในขณะจับกุมก็ได้เดินเล่นกับลูกซึ่งเป็นหลานของตน หากตนเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่เขาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคงช่วยตนแล้วไม่ปล่อยให้ลูกเขยของตนต้องอยู่ในคุกถึง 7 เดือน พร้อมกล่าวทั้งน้ำตาว่า “ท่านไม่เคยมีลูกหลานอยู่ในคุก ไม่รู้หรอกว่า หลานของผมร้องไห้เกือบทุกวัน และลูกสาวของผมโทรหาผม แต่ผมก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้”
อุปกิต ยังกล่าวถึงกรณีที่ถูกเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีต สว.กก.2 บก.สส.บช.น. ถูกสั่งย้าย โดนยืนยันว่า การย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์ นั้นเป็นการย้ายประจำรอบ และโดนย้ายเนื่องจากไม่มีผลงานใน 3-4 เดือน อีกทั้งเป็นการการย้ายในตำแหน่งที่เท่าเดิม ไม่มีการลงโทษ แล้วจะมากล่าวหาว่าตนไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้อย่างไร หากตำรวจจะช่วยตนจริง คงช่วยไปตั้งแต่วันที่ลูกเขยของตนโดนจับแล้ว
ส่วนในเรื่องกรณีที่ รังสิมันต์ โรม ออกมาอภิปรายในสภา และโจมตีเรื่องการเพิกถอนหมายจับทั้งที่มีการออกหมายจับในวันเดียวกัน อุปกิต กล่าวว่า หนึ่งในเหตุผลที่ใช้ออกหมายจับนั้นพบว่า มีการตกแต่งข้อความแชท เช่น การพูดเรื่องโรงปูนที่ตนโดนทางพม่าโกง จึงพูดคุยเพื่อช่วยให้มีการประสานผ่านเอกอัครราชทูตไทย แต่กลับกลายเป็นว่า ตนพูดเรื่องธุรกิจไฟฟ้า และกล่าวหาว่า เลือกใช้บริการโอนเงินโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต และผิดกฎหมาย
อุปกิต ยังกล่าวถึง ธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้าซึ่งตนทำมากว่า 10 ปีว่า ภายหลังการก่อสร้างโรงแรมอัลลัวร์ในประเทศเมียนมาร์ ทางการเมียนมาร์ไม่มีไฟฟ้าที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ โรงแรมจึงใช้เครื่องปั่นไฟโดยใช้น้ำมันดีเซล และเปิดปิดเครื่องทุก 6 ชั่วโมง ทำให้ไฟฟ้าไม่เสถียร และต้นทุนสูง รัฐบาลเมียนมาร์จึงเห็นใจ และอนุญาตให้นำไฟไทยมาใช้เบื้องต้น ต่อมาประชาชนที่ท่าขี้เหล็กมีความต้องการใช้ไฟฟ้า บริษัทจึงเป็นตัวกลาง และมีการชำระค่าไฟฟ้าอย่างไม่มีปัญหา แต่เริ่มมีปัญหาภายหลังด่านท่าขี้เหล็กปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563 ทุน มิน ลัต จึงเป็นผู้รับผิดชอบการโอนเงินแบบระบบแมทช์ชิ่ง โดยการโอนเงินในแต่ละเดือนถ้าเทียบกับยอดเงินไม่ดีที่เข้าการไฟฟ้าแล้วนั้นคิดเป็นจำนวนน้อยมาก
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ตนนำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมานั้น อุปกิต ชี้แจงว่า คงไม่มีใครไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมาย ไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่า ไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า
อุปกิต กล่าวอีกว่า ขณะที่คดีของทุน มิน ลัต ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับถูกนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ตนไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆ ไปฟ้องต่อศาล ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ
โดยเฉพาะการเผยแพร่เอกสารซึ่งหลุดจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลออกมาโหนกระแส ดังนั้น ตน และครอบครัวจึงขอความเป็นธรรม เพราะตน และครอบครัวตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ใช้ประโยชน์เพื่อการหาเสียง ตนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครก้าวก่าย และแทรกแซงได้ โดยเฉพาะตนเอง
อุปกิต เปิดเผยอีกว่า วันนี้ ตนเองและทนายความจะเดินทางไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในวันนี้ (17 มี.ค.)
อุปกิต กล่าวอีกว่า สำหรับสื่อมวลชนที่ได้ฟ้องแล้ว และกำลังจะยื่นฟ้อง เนื่องจากทำให้ตนเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ดังนั้น ใครที่ล้ำเส้นตน กล่าวหาตน ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดีเหล่านี้ ขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด เพราะตนต้องการเพียงกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตน
หลังการแถลงเสร็จสิ้น อุปกิต ได้ยกมือพนม พร้อมกล่าวสาบานทั้งน้ำตาว่า “ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ‘ชาคริส กาจกำจรเดช’ ซึ่งปรากฏอยู่ในรายชื่อการโอนบัญชีทรัพย์สินคือใคร อุปกิต กล่าวว่า ชาคริส คือคนที่เคยเช่าอัลลัวร์ และเป็นหุ้นส่วน 15% ของอัลลัวร์เมื่อก่อนที่ตนเคยทำอยู่ พร้อมทั้งยอมรับถึงเรื่องการโอนบัญชีทรัพย์สินที่เป็นเท็จว่า เป็นความสะเพร่าของตน เพราะตนจะขายให้กับ ชาคริส ก่อนมารับตำแหน่ง ส.ว. ขณะเดียวกัน การถือหุ้นไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ไม่อยากให้มีข้อครหา จึงเซ็นสัญญาซื้อขาย เพราะตั้งใจจะขายให้กับชาคริส แต่ปรากฎว่า สัญญาเป็นโมฆะ แล้วโอนให้กับลูกเขย จากนั้น ขายให้กับ ‘เอ็ดดี้’ เป็นเงินสด และตนตั้งใจว่าจะยื่นชี้แจงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินหลังจากออกจากตำแหน่ง ส.ว.ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้ซีเรียสเรื่องสัญญา
ทั้งนี้ อุปกิต ยังยืนยันอีกว่า ตึกที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในขณะที่ยังไม่มีตำแหน่งทางการเมืองได้ติดต่อขอเช่าโดยแจ้งว่า ใช้เป็นออฟฟิศส่วนตัว และยืนยันว่า ได้ทำสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ทราบมาก่อนว่า จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการพรรค พร้อมยินดีให้ตรวจสอบสัญญาเช่า และย้ำว่า ไม่ได้รู้จัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการส่วนตัว แต่คิดว่า ที่ถูกได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.เพราะมีความชำนาญด้านการต่างประเทศ และการไฟฟ้า โดยยืนยันได้ว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ตนเองตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอย่างแน่นอน