วันนี้ (17 มี.ค.2566) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง แถลงข่าวกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวหา โดยเริ่มต้นกล่าวกับสื่อมวลชน ว่า ขออภัยที่ออกมาชี้แจงล่าช้า เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี ส่วนกรณีที่นายรังสิมันต์ และสื่อบางสำนักได้ตัดสินว่าตนผิด เรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จึงไม่ขอก้าวล่วงมากนัก
ก่อนที่จะชี้แจงเรื่องข้อกล่าวหาต่าง ๆ นายอุปกิตได้พูดถึงกรณีที่ลูกเขยถูกจับกุมในคดียาเสพติดและฟอกเงิน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งที่ลูกเขยอยู่ที่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านพักของตนเอง และลูกเขยของตนได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นมานานแล้ว ขณะถูกจับกุมลูกเขยเดินเล่นกับลูก หรือหลานของตนเองอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายอุปกิตพูดถึงเรื่องดังกล่าวก็ได้ร้องไห้และมีน้ำเสียงสั่นเครือ บอกว่า รู้สึกสงสารหลาน หากตนเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ลูกเขยคงไม่ต้องอยู่ในคุกมา 7 เดือน เพราะหากตำรวจอยากช่วยตน ก็มีอำนาจจับกุมแล้วประกันตัวได้ และหากจะช่วยกันก็ช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ลูกเขยอยู่ในคุกมา 7 เดือน หลานเล็ก ๆ ก็ร้องไห้ทุกวัน แม่ของหลาน ก็โทรมาร้องไห้ทุกวัน แต่ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
จากนั้นนายอุปกิต ได้ชี้แจงยืนยันว่า ตนไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือเป็นกรรมการบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป จำกัด และตำรวจก็ไม่ได้ช่วยแยกคดีนี้ออกมาเป็นอีก 1 คดี ทั้งหมดเป็นคดีนอกราชอาณาจักร
ส่วนกรณีที่มีการกล่างอ้างว่า มีตำรวจที่ทำคดีดังกล่าวถูกโยกย้าย นายอุปกิต ยืนยันว่า ตนไม่มีอำนาจหรือกดดันให้ใครย้ายตำรวจคดีนี้ แต่ตำรวจที่ถูกย้ายเป็นการย้ายไปตามวงรอบ และไม่มีผลงานในช่วง 3-4 เดือน มีแค่คดีนายทุนมินลัตคดีเดียว
อีกทั้งการย้ายครั้งนี้ เป็นการย้ายไปในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ย้ายเพราะการลงโทษ หากตนมีอิทธิพลจริงก็คงย้ายออกไปไกล ๆ ขณะเดียวกันตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าตำรวจจะช่วยตนก็ช่วยตั้งแต่วันแรกแล้วที่มาจับกุมลูกเขยของตน
ส่วนกรณีนายรังสิมันต์ โจมตีทำให้ตนเองเสียหายอย่างมากนั้น นายอุปกิต กล่าวว่า กรณีการออกหมายจับแล้วยกเลิกหมายจับในวันเดียวกันนั้น เนื่องจากมีการตกแต่งคำพูดในแชทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเพื่อนำมาปั้นเป็นหลักฐานให้ตนมีความผิด
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ตนนำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมานั้น นายอุปกิต ชี้แจงว่า คงไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมาย ไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่า ไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า
ขณะที่คดีของนายทุนมินลัต ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ตนไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สน.พญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่าง ๆไปฟ้องต่อศาล ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ
มีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า เพราะการเผยแพร่เอกสารหลุดจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามขั้วรัฐบาลออกมาโหนกระแส ตนและครอบครัวจึงขอความเป็นธรรม เพราะตนและครอบครัวตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ใช้ประโยชน์เพื่อการหาเสียง ตนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครก้าวก่ายและแทรกแซงได้ โดยเฉพาะตนเอง
นายอุปกิต เปิดเผยอีกว่า วันนี้ (17 ม.ค.) ตนเองและทนายความจะเดินทางไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ นอกจากนี้ยังได้ยื่นฟ้องสื่อมวลชนบางส่วน และกำลังจะยื่นฟ้องเพิ่ม เนื่องจากทำให้ตนเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ใครที่ล้ำเส้นตน กล่าวหาตน ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดีเหล่านี้ ขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด เพราะต้องการเพียงกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศ
หลังการแถลงเสร็จสิ้น นายอุปกิตได้ยกมือพนม พร้อมกล่าวสาบานทั้งน้ำตาว่า “ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายชาคริส กาจกำจรเดช คือใคร นายอุปกิจ กล่าวว่า นายชาคริส คือคนที่เคยเช่าอัลลัวร์ และเป็นหุ้นส่วน 15%ของอัลลัวร์ เมื่อก่อนที่ตนเคยทำอยู่
เมื่อถามอีกว่า มีการตั้งข้อสังเกตถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเท็จ เนื่องจากนายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า นายอุปกิตไม่ได้ซื้อขายหุ้นอัลลัวร์ให้นายชาคริสจริง ซึ่งนายอุปกิต ยอมรับว่า เป็นความสะเพร่าของตน เพราะจะขายให้กับนายชาคริส ก่อนมารับตำแหน่ง ส.ว. ขณะเดียวกันการถือหุ้นไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ไม่อยากให้มีข้อครหา จึงเซ็นสัญญาซื้อขาย เพราะตั้งใจจะขายให้กับนายชาคริส แต่ปรากฎว่า สัญญาเป็นโมฆะ แล้วโอนให้กับลูกเขย จากนั้นขายให้กับนายเอ็ดดี้เป็นเงินสด และตนตั้งใจว่าจะยื่นชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังจากออกจากตำแหน่ง ส.ว.ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้ซีเรียสเรื่องสัญญา
นายอุปกิต ยังยืนยันว่า ตึกที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ติดต่อขอเช่าโดยแจ้งว่า ใช้เป็นออฟฟิศส่วนตัว ยืนยันว่า ได้ทำสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ทราบมาก่อนว่า จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการพรรค พร้อมยินดีให้ตรวจสอบสัญญาเช่า และย้ำว่าไม่ได้รู้จัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการส่วนตัว แต่คิดว่าที่ถูกได้รับเลือกให้เป็น ส.ว. เพราะมีความชำนาญด้านการต่างประเทศและการไฟฟ้า โดยยืนยันได้ว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ตนเองตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอย่างแน่นอน