ในรั้ว ทบ. ดูภายนอกนิ่งเงียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หลัง ‘บิ๊กบี้’พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ทำการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ หลังออกกฎเหล็ก ‘5ทำ – 5ไม่’ เพื่อให้ ทบ. เป็นกลางทางการเมือง รักษาภาพลักษณ์ทหาร
แต่กลับปรากฏภาพ ‘ทหารแปดริ้ว’ ร่วมโต๊ะอาหารกับ ‘นักการเมือง’ ในพื้นที่ นำมาสู่การ ‘ย้ายเข้ากรุ’ ทันที
ในการโยกย้ายโผ ‘ผู้บังคับการกรม’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้เขย่า ‘กองพลสไตรเกอร์’ พล.ร.11 โยก พ.อ.สังกาศ สร้อยคำ รอง ผบ.พล.ร.11 ถูกย้ายไปประจำมณฑลทหารบกที่ 11 ซึ่ง พ.อ.สังกาศ ถูกจับตาว่าจะขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.11 คนต่อไป อีกทั้งมีการ ‘โยกข้ามห้วย’ นำเอา พ.อ.ธีรยุทธ์ เส้งรอด ผู้บังคับการกรมสนับสนุน กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ข้ามมาเป็นรอง ผบ.พล.ร.11 แทน และ พ.อ.ยุทธนา มีเจริญ จาก รองผบ.มทบ.14 ถิ่นทหารเสือฯ ข้ามมาเป็นรอง ผบ.พล.ร.11
นอกจากนี้ยังโยก พ.อ.ถิรเดช ลิ้มคุณากูล ผบ.ร.111 ไปเป็นนายทหารปฏิบัติการประจำ มทบ.11 แล้วให้ พ.อ.อภิชัย จูสนิท จากรอง ผบ.12 รอ. ชายแดนบูรพาพยัคฆ์ มาเป็น ผบ.ร.111 แทน
พร้อมกับโยก พ.อ.กริช บุญเกิด ผบ.ร.112 ไปเป็น นายทหารปฏิบัติการประจำ มทบ.11 แล้วให้ พ.อ.ศรัณยนิษฐ์ สุทธวัจน์ชินเดช จากนายทหารปฏิบัติการประจำ มทบ.11 สลับมาเป็น ผบ.ร.112 แทน
ว่ากันว่า ‘นักการเมือง’ ที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่าย คือ ‘สุชาติ ตันเจริญ’ ที่ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ ไปยังพรรคเพื่อไทย
สำหรับชื่อ ‘สุชาติ’ ถือเป็นหนึ่งในชื่อที่ พล.อ.ประยุทธ์ ‘จำฝังใจ’ ถึงกับเอ่ยปากถึงออกทีวีทำนองว่า เจอหน้าในสภาฯ พูดจาดีสุภาพ แต่ลับหลังต่อว่าพูดชื่อนายกฯมีสรรพนามต่างๆตามมา ล่าสุด ‘สุชาติ’ ขึ้นเวทีเพื่อไทยปราศรัย จ.ฉะเชิงเทรา ซัด พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกฯ ประสาอะไร ปล่อยสภาล่ม-โจ๋งครึ่มซื้อ ส.ส. 30-40 ล้านบาท
ที่ผ่านมา ‘สุชาติ’ เมื่อครั้งเป็น รองประธานสภาฯ มักวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องการ ‘ตอบกระทู้ถามสด’ ในสภาฯ ที่มีการมอบหมายเป็นทอดๆ แต่สุดท้ายไม่มีรัฐมนตรีมาชี้แจง เคยสอนมวยในสภาฯ การมอบหมายอย่าสั่ง ‘เหมือนทหาร’ คือสั่งไปแล้วถือว่าจบกัน ขอให้สั่งเหมือน ’นักการเมือง’ ต้องสอบถามกันหน่อยว่าว่างหรือไม่ ตอบได้หรือไม่
รวมทั้ง ‘บิ๊กป๊อก’พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ก็เคยโดน ‘สุชาติ’ สอนมวยกลางสภาฯ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ โดน เรื่องการมอบรัฐมนตรีมาตอบ ‘กระทู้ถามสด’ จะมอบหมายใครให้เจรจากันว่าว่างหรือไม่ว่าง ไม่ใช่อยู่ๆก็มอบอย่างเดียว คนที่รับมอบไม่ว่าง ถ้าจะมอบหมาย ก็มอบหมายคนที่ว่าง
เรียกว่า ‘สุชาติ’ ทิ่งแทงใจไปทั้ง ‘2ป.บูรพาพยัคฆ์’ ยกเว้น ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่รอดจาก ‘คมปาก’ ของ ‘สุชาติ’ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงถูกมองเป็น ‘สงครามตัวแทน’ ระหว่าง ‘2ป.-บ้านใหญ่แปดริ้ว’ โดยมี ‘กองพลสไตรเกอร์’ เป็นเครื่องสังเวย
เรื่อยมาจนถึงโผ ‘ผู้บังคับกองพัน’ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือน ทบ. เกิดปรากฏการณ์ ‘ทหารคอแดง’ กลืน ‘ทหารคอเขียว’ ขึ้นมา จึงถูกจับตาว่าเป็นการ ‘ส่งสัญญาณ’ ใด ภายใน ทบ. หรือไม่ ซึ่ง ‘ทหารคอแดง’ ทำหน้าที่ใน หน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จาก กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ถูกโยกไปเป็นผู้บังคับพันที่ พล.ร.9 และพล.ร.11 หรือที่เรียกกันว่า ‘ทหารคอเขียว’ ซึ่งทั้ง พล.ร.9 และ พล.ร.11 ถูกจัดวางกำลังให้มาทดแทน พล.1 รอ. และ พล.ร.2 รอ. ที่เป็น ‘ทหารคอแดง’ ไปแล้ว
โดยมีชื่อ พ.ท.พีรพุฒิ แย้มจิตร์ จาก หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน พล.1 รอ. ไปเป็น ผบ.ร.29 พัน.3 และ พ.ท.ธเนษฐ ชัยวัฒนธรรม หัวหน้าฝ่ายส่งกำลังบำรุง พล.1 รอ. มาเป็น ผบ.ร.111 พัน.3 เป็นต้น
ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองในอนาคต หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ยกบทเพลงพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6 “ไร้รักไร้ผล” ขึ้นมา กลางวันสถาปนากระทรวงกลาโหม เพื่อต้องการสื่อการกับ ‘ทหารด้วยกัน’ อย่าให้เกิดวิกฤตการณ์ทำให้ประเทศชาติเสียหาย แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยืนยันว่าไม่มี ‘ซ่อนนัยยะ’ ใดๆ แต่กลับเต็มไปด้วย ‘ปริศนา’ ต่างๆ
“ก็ให้ไปคิดกันเอาเอง ประเทศชาติจะอยู่กันอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพวกเรา และเป็นเรื่องกระบวนการประชาธิปไตยของพวกเธอ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันให้กองทัพ ไปคิดแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
“ยังไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ใช้ปากอะไรกันหน่อย เราก็ไม่ไปต่อสู้อะไรกับใครอยู่แล้ว เพียงแต่มันจะทำให้เหตุการณ์บานปลายอะไรหรือเปล่า เราไม่รู้ แล้วมันก็จะไปเดือดร้อนคนอื่น เจ้าหน้าที่ก็จะต้องทำงาน มันก็จะมีปัญหาต่อไปอีก ถ้ามันไม่มีคนที่จะคิดทำอะไรที่ไม่ดี มันก็เรียบร้อย แล้วเขาทำเพื่อมุ่งหวังอะไรกันล่ะ ก็ไม่รู้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
แม้สื่อจะพยายามถามย้ำว่า มีสัญญาณ ‘วุ่นวาย’ ใช่หรือไม่ หรือ บางเรื่องพูดไม่ได้ใช่หรือไม่ นายกฯ กลับบอกเพียง “ขอให้ไปคิดเอาเอง”
ดังนั้นสถานการณ์ในอนาคตจึงถูกจับตาจะมี ‘ความวุ่นวาย’ ใดตามมาหรือไม่ โดยเฉพาะหากเกิดการ ‘พลิกขั้วการเมือง’ ขึ้นมา ฝั่ง ‘พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล’ ได้เป็นรัฐบาล หลายนโยบายพุ่งเป้าไปที่ ‘การเมืองเชิงโครงสร้าง’ เช่น การแก้ไข ม.112 และกฎหมายความมั่นคงอื่นๆ รวมทั้งการ ‘ปฏิรูปกองทัพ-เกณฑ์ทหาร’
แม้แต่นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย ที่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อไทย ได้ระบุแหล่งที่มาเงิน 1 ใน 4 วิธี คือการลดหรือตัด ‘งบกองทัพ’ ซึ่งเท่ากับเป็น ‘ทุบหม้อข้าวทหาร’ ด้วยนั่นเอง
ดังนั้นหากเกิดการ ‘พลิกขั้วการเมือง’ ขึ้นมา เหตุการณ์ ‘รัฐประหาร’ จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ บนเงื่อนไขที่จะต้องมี ‘สถานการณ์’ เป็นเชื้อไฟ เฉกเช่นในอดีต แต่ภายใน ทบ. ได้มีการปรับโครงสร้างหน่วยใหม่ ในช่วงหลายปีมานี้ ‘ขุมกำลังปฏิวัติ’ ดั้งเดิม กลายสภาพเป็น ‘ทหารคอแดง’ ไปหมดแล้ว
อีกทั้ง ‘ยุทโธปกรณ์หนัก’ ส่วนใหญ่ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกนอกกรุงเทพฯ และ ‘หน่วยทหารคอเขียว’ ใจกลางกรุงเทพฯ ก็ถูกย้ายไปชานเมืองหรือต่างจังหวัดแทน ดังนั้นการ ‘จัดกำลังปฏิวัติ’ ย่อมต่างจากอดีต
ความนิ่งของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่เปรียบเป็นคน ‘น้ำนิ่งไหลลึก’ และจากเหตุการณ์ ย้ายระดับ ‘ผู้การฯ-พันเอก’ ว่ากันว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ อยู่ในสภาวะ ‘กลืนเลือด’ รวมทั้งการจัดโผ ‘ผู้พัน’ ที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ต้อง ‘ยอม’ เพื่อวาง ‘สมดุลอำนาจ’ จากภายนอก ทบ. ที่มีเอฟเฟกต์ถึงภายใน ทบ. ด้วย
ดังนั้นช่วง 6 เดือน ก่อนที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะ ‘ลงหลังเสือ’ เกษียณฯ ก.ย.นี้ และเป็นช่วงรอยต่อได้ ‘รัฐบาลใหม่’ เรียกว่าเป็นการ ‘เปลี่ยนผ่านอำนาจ’ ทั้งฝั่ง ‘การเมือง-กองทัพ’ พร้อมกัน ซึ่งในสายตาของ ‘ผู้มีอำนาจ’ เสถียรภาพของทั้ง 2 ฝั่ง จะต้องเดินควบคู่กันไป