หน้าแรก Voice TV วิกฤติที่ดินไทย กับนโยบาย 3 พรรค #เลือกตั้ง66

วิกฤติที่ดินไทย กับนโยบาย 3 พรรค #เลือกตั้ง66

83
0
วิกฤติที่ดินไทย-กับนโยบาย-3-พรรค-#เลือกตั้ง66

Voice กางนโยบาย 3 พรรคการเมือง ว่าด้วยเรื่องการแก้ปัญหาทสิทธิที่ดินทำกิน ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงและครอบครองที่ดิน พวกเขามีแนวคิดและวิธีการในการจัดการปัญหา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินในสังคมไทย ถือเป็นปัญหาใหญ่และเรื้อรังที่สุดปัญหาหนึ่ง เกษตรกรจำนวนมากประสบกับปัญหาไร้ที่ดินทำกิน ขณะที่มีประชากรผู้ร้ำรวยจำนวนหยิบมือร่ำรวยและครอบครองที่ดินมากขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อมูลปี 2561 ระบุว่า ประชากรผู้ร่ำรวยร้อยละ 10 ของประเทศ ถือครองที่ดิน 94.86 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 61.5 ขณะที่ประชากรยากจนที่สุดร้อยละ 10 ของประเทศ ถือครองที่ดินรวมกันเพียง 68,330 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.1

นี่คือความเหลื่อมล้ำ ที่มีความต่างกันถึง 853.6 เท่า

ที่ผ่านมา รัฐบาลมีความพยายามที่จะประกาศใช้นโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาด้านที่ดินในรูปแบบต่างๆ แต่กลับพบว่าระบบกฎหมายที่รัฐดำเนินการไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้ง โดยเฉพาะในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2557 มีประชาชนถูกดำเนินคดีมากถึง 46,000 คดี

Voice กางนโยบาย 3 พรรคการเมือง ว่าด้วยเรื่องการแก้ปัญหาทสิทธิที่ดินทำกิน ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงและครอบครองที่ดิน ตลอดจนสิทธิมนุษยชนที่ถูกละเมิด พวกเขามีแนวคิดและวิธีการในการจัดการปัญหา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ที่ดินไทย-01.jpg

พรรคก้าวไกล

‘ที่ดิน’ คือหนึ่งในต้นตอปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย เหตุเพราะที่ดินจำนวนกว่า 320 ล้านไร่ของประเทศ ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของรัฐกว่า 200 ล้านไรในมือของหน่วยงานรัฐถึง 8 กระทรวง ภายใต้กฎหมาย 16 ฉบับ นำมาสู่ปัญหา เมื่อหน่วยงานรัฐทำการขีดเส้นแบ่งบนแผนที่ ในยุคที่เทคโนโลยีการทำแผนที่ยังไม่ทันสมัย โดยที่แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างก็วัดกันเอง จึงไม่แปลกที่จะเกิดการทับซ้อนกันทั้งระหว่างหน่วยงานกันเอง และการอ้างกรรมสิทธิ์ทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชน

ก้าวไกลจำแนกปัญหาที่ดิน ดังนี้ 

  1. เทคโนโลยี ที่นำมาใช้ในขีดเส้นแบ่งที่ดินบนแผ่นที่ ก่อนหน้านี้รัฐใช้แผนที่อัตราส่วน 1 : 50,000 มากำหนดเขตที่ดินมาโดยตลอด ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ใหญ่เกินไปและนำมาสู่ความคลุมเครือและปัญหาความทับซ้อนต่างๆ
  2. ทุนสำรวจ หรืองบประมาณในการพิสูจน์สิทธิ ที่วันนี้มีเพียงปีละราว 300 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถนำไปสู่การพิสูจน์สิทธิเพื่อสร้างความชัดเจนได้ แล
  3. ทัศนคติ ที่รัฐใช้อำนาจนิยมในการจัดการ ไม่ฟังเสียงของประชาชน เช่น การทวงคืนผืนป่า ที่นำมาสู่การดำเนินคดีประชาชนกว่า 9 หมื่นคดีทั่วประเทศ

พรรคก้าวไกลจะทำการปฏิรูปที่ดิน โดยจะดำเนินการทั้งหมด 5 ข้อ อันประกอบด้วย

  1. การพิสูจน์สิทธิ์ในที่ดิน และเพิกถอนสภาพที่ดินของรัฐที่ประกาศทับพื้นที่ชุมชนที่อยู่มาก่อน โดยจะจัดตั้งกองทุนในการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน 10,000 ล้านบาท เพื่อให้พิสูจน์สิทธิในที่ดินที่มีข้อพิพาททั้งหมดประมาณ 13 ล้านไร่ ภายในเวลา 5 ปี แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.ที่ดินราชพัสดุ และมติครม.ที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงปัญหาทับซ้อนของแผนที่ให้แล้วเสร็จ
  2. มองสิทธิในที่ดินตามความเป็นจริง 3 ประเภท คือ สิทธิของเอกชน สิทธิของชุมชน และสิทธิของรัฐ และปรับโครงสร้างอำนาจการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับรูปแบบสิทธิ ผลักดันกฎหมายธนาคารที่ดินเพื่อเป็นกลไกการกระจายการถือครองที่ดิน
  3. ให้กรรมสิทธิ์ประชาชน เริ่มจากเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. เป็นโฉนดเอกสารสิทธิ์ให้กับเกษตรกรตัวจริง ทวงคืนที่ดิน ส.ป.ก. จากนายทุน ผ่านร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อประชาชน
  4. ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการปรับปรุงกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และผลักดันกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าแบบรวมแปลง
  5. คืนความยุติธรรม ด้วยการนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวกับป่าไม้และที่ดินที่มีการดำเนินคดีทั้งหมด
พรรคเพื่อไทย

เจตนารมณ์ของพรรคเพื่อไทยคือ ประชาชนทุกคนต้องมีที่ดินเป็นของตนเองเกษตรกรทุกครัวเรือนจะมี  ที่ดินทำกินอย่างพอเพียง โดยดำเนินการให้มีการออกโฉนด ให้กับประชาชน 50 ล้านไร่ โดยแปลงที่ดินที่มีความขัดแย้งไปเป็นพื้นที่ วนเกษตร ต้นไม้ทุกต้นมีราคา เป้าหมายอีก 1 เป้าหมายคือ  ที่ดินที่เป็นโฉนดจะถูกใช้เป็นพื้นที่สีเขียว เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นำสู่สภาวะเป็นกลางทางคาร์บอน และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต ยุติความขัดแย้ง กับราษฎรรายเล็กรายน้อย ที่ถูกกล่าวหาเรื่องที่ดินที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกิน เพื่อนำมาซึ่งความร่วมมือของราษฎร กับภาครัฐ 

รวมไปถึงเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งโฉนด อย่างถูกต้องและเป็นธรรม ด้วยการใช้หลักฐานภาพถ่ายจากดาวเทียม หรือหลักฐานอื่นซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง นำที่ดินที่รัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์เพิ่มผลประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนด้วยการจัดที่ดินทำกินอันจะก่อประโยชน์ต่อทั้งเศรษฐกิจ และความสมดุลของระบบนิเวศเพิ่มปริมาณและคุณภาพของพื้นที่สีเขียวให้มีความอุดมสมบูรณ์และเพียงพอต่อความปลอดภัยทางด้านภูมิอากาศและความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน 

วิธีการ 

  1. ผู้ครอบครองที่ดินก่อน 1 ธันวาคม 2497 ประมวลกฎหมายที่ดินบังคับใช้ โดย ส.ค. 1 จำนวน 1 ล้านแปลง จะได้รับการพิสูจน์สิทธิ์ และได้รับโฉนด ทั้งนี้ผู้ครอบครอง ทำประโยชน์ต่อเนื่อง โดยไม่มี ส.ค.1 จะได้รับการพิสูจน์ และได้รับโฉนด
  2. ที่ดินประเภท ส.ป.ก. สำหรับที่ดินประเภทเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรม จะได้รับโฉนดทันที ส่วนกรณีบุคคลอื่นที่ได้ที่ดินมาจากผู้เช่าซื้อ หรือจากทายาทโดยธรรม จะได้เอกสารสิทธิ์และจะได้เอกสารสิทธิ์ และจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่ และจำกัดรายละไม่เกิน 20 ไร่

สำหรับที่ดินประเภทเช่า ผู้เช่าที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรม จะต้องปลูกไม้ยืนต้น ไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่และจะได้รับโฉนด ส่วนกรณีบุคคลอื่น มาถึงคิวที่ได้ที่ดินจากผู้เช่าหรือทายาทโดยธรรมจะได้รับอนุญาตให้เช่าต่อไปโดยจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่และจะได้ไม่เกิน 20 ไร่

สำหรับที่ดินที่มาจากป่าเสื่อมโทรมจำนวน 33 ล้านไร่ ผู้ถือครองที่ดิน ส.ป.ก.4-01 หรือทายาทโดยธรรมที่ใช้ประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง จะได้รับโฉนด โดยจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่

ส่วนกรณีบุคคลอื่นที่ได้ที่ดินมาจากผู้ที่ได้รับที่ดิน ส.ป.ก.4-01 จะได้รับเอกสารสิทธิ์ โดยต้องทำการปลูกไม้ยืนต้นไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งโดยจะได้ที่ดินไม่เกิน 20 ไร่ สำหรับโฉนดจากนโยบายนี้ยังถูกคุ้มครองให้เป็นพื้นที่ประกอบการเกษตรกรรมเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อม

ประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมโดยใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ประมาณ 7 ล้านไร่ จะได้รับโฉนดในเวลาที่กำหนด โดยจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่

ในส่วนประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ราบเชิงเขาประมาณ 10 ล้านไร่ จะได้รับเอกสิทธิ์ภายในกำหนดเวลา โดยจะต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของพื้นที่ ชุมชนพื้นบ้านประมาณ 20,000 หมู่บ้าน ที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง จะได้รับเอกสารในรูปแบบสหกรณ์ป่าไม้ชุมชน

พรรคสามัญชน

หลักคิด 

แก้กฎหมายที่ดินทำกินและป่าไม้ เพื่อให้ชาติพันธุ์สามารถเลือกตั้งและเป็นผู้แทนได้ ให้ชนเผ่าและเกษตรกรได้กำหนดอนาคตตนเอง ดังนี้ 

  1. สนับสนุนพรบ.สภาชนเผ่าพื้นเมือง คือ สิทธิในการการสร้างบ้านที่อยู่อาศัย และ พรบ.คุมครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง คือการส่งเสริมความเชื่อและวิถีชีวิตคนอยู่กับป่า ต้องถูกบบรรจุในตัวกฏหมายให้มีความชอบธรรมในการดูแลป่า จัดสรรและใช้ป่าอย่างยั่งยืน ชุมชนที่อยู่ใกล้ต้องมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในการจัดการและดูแลป่า และกันเขตป่าออกจากชุมชนอย่างชัดเจน และต้องมีพื้นที่ทำกิน ปฎิรูปกฏหมายป่าไม้  แบ่งแนวเขตให้ชัดเจนไม่ทับซ้อนกัน
  2. นิรโทษกรรมคดีป่าไม้ 46,000 คดี จากกฎหมายทวงคืนผืนป่าที่ยึกแย่งและขับไล่คนออกจากป่า และยกเลิกกฎหมาย คสช.ทั้งหมด
  3. ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยให้โปร่งใส หยุดการบังคับใช้กฎหมายที่เอาเปรียบชนเผ่าที่ไม่สันทัดในภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาราชการ ที่ส่งผลให้ถูกดำเนินคดี จ่ายค่าปรับ รีดไถ อย่างไม่เป็นธรรม
  4. ธนาคารที่ดิน ต้องเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนไม่เป็นแหล่งหากำไร ช่วยให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน สัดส่วนคณะทำงานต้องเท่ากันระหว่างรัฐกับประชาชน
  5. ผลักดันโฉนดชุมชนให้เป็นกฏหมาย เอกชนที่ต้องการเข้ามาใช้สอยที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งหรือใกล้เตียงกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบต้องเข้ามาร่วมประชาคม ภายใต้ข้อตกลงที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
  6. ผลักดันให้เก็บภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อให้เกิดการกระจายที่ดินกรรมสิทธิ์ ซึ่งถือครองกระจุกตัวอยู่กับคนบางกลุ่ม แต่ไม่ได้ใช้สอย เพื่อให้ประชาชนซึ่งไม่ทีที่ดินทำกินเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการใช้กรรมสิทธิ์ร่วม การซื้อ หรือการเช่าตาม
  7. รัฐสวัสดิการเพื่อชุมชนชาติพันธุ์ พัฒนาคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และที่อยู่อาศัย เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพในระยะยาว  โดยไม่ใช่การสงเคราะห์
  8. ชาติพันธุ์มีสิทธิ์เลือกตั้ง เพื่อกำหนดอนาคตของตนเอง และสามารถเป็นตัวแทนเข้าไปทุกกลไกการปกครอง ตั้งแต่ระดับภูมิภาค ชุมชน ตำบล ไปจนถึงระดับประเทศ 
  9. แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มอำนาจให้ประชาชนสามารถต่อรองกับอำนาจรัฐ และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพื่อที่ประชาชนจะได้มีอำนาจจัดการและต่อรองในส่วนการพัฒนาทุกอย่างได้ตามความพอดี ไม่เป็นการสร้างปัญหาในระดับพื้นที่ และประชาชนรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมกันเขียนรัฐธรรมนูญ สสร.ฉบับประชาชน เพิ่มสิทธิชุมชนกลับคืนสู่รัฐธรรมนูญใหม่
พรรคพลังประชารัฐ

เสนอนโยบายการแก้ปัญหาที่ดินทำกินทันที โดยผู้ใดครอบครองที่ดิน สปก. เกิน 10 ปี ให้รีบไปแจ้งขอแก้เป็นโฉนดได้  แต่ต้องรอให้เกิน 5 ปี จึงจะทำการซื้อขายได้ ให้เป็นโฉนดสีแดงก่อน เพื่อตอบโจทย์พี่น้องประชาชนในการนำที่ดินไปพัฒนาต่อยอดในการทำธุรกิจ หรือ นำไปแบ่งโอนให้ลูกหลาน และไปต้องอยู่แบบหวาดระแวงที่จะถูกดำเนินคดีบุกรุก

‘มีเรา มีที่ทำกิน มีที่ดินไม่มีจน’  คือม็อตโต้ของพรรคในเรื่องนโยบายบริหารจัดการที่ดิน โดยพรรคมีแนวทางปฏิรูประบบที่ดิน คืนที่ทำกินให้ประชาชนโดย เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด จัดที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คนไร้ที่ทำกินกว่า 2 ล้านราย ยกระดับธนาคารที่ดิน ตั้งศูนย์พิสูจน์และคุ้มครองสิทธิประชาชน ชะลอการดำเนินคดีและนิรโทษกรรมความผิดเกี่ยวกับที่ดิน และสังคายนากฎหมายที่ดินทั้งระบบ เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค่าสูงสุดรองรับการพัฒนาประเทศ และคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียม

พันธวัช ภูผาพันธกานต์ ตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวถึงมุมมองเรื่องปัญหาที่ดิน (10 เม.ย. 2566) ไว้ว่า  ปัญหาเกิดมาจาก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฉบับล่าสุด มีการจับกุม คุมขัง ดำเนินคดีมากมาย โดยทางพรรคจะแก้กฎหมาย แต่ก่อนถึงเรื่องนั้น ทางพรรคจะรับรองสิทธิของชุมชนให้ได้ก่อน และจะดำเนินการเร่งออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทุกประเภท ตลอด 8 ปีที่ผ่านมารัฐล้มเหลวในการจัดการทรัพยากร เพราะขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน พรรคพลังประชารัฐจึงต้องการเปิดพื้นที่ใหม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม 

พรรครวมไทยสร้างชาติ

พรรคมองว่า ประชาชนจำนวนมากประสบความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกิน สาเหตุจากความไม่ชัดเจนของกฎหมาย ความซ้ำซ้อนของกฎหมายหลายฉบับของแต่ละหน่วยงานที่ถือกฎหมายคนละฉบับ ทำให้ประชาชนถูกดำเนินคดี ด้วยเรื่องที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และไปอยู่ในแนวเขตอุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าสงวนต่างๆ 

โดยพรรคมีแนวทางทำงานดังนี้

  1. ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ หรือที่เรียกว่า “One map” เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนยืดเยื้อ โดยเริ่มจาก 11 จังหวัดภาคกลาง และจะดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปี 
  2. แก้กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินทั้งหลาย เพื่อให้ประชาชนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ หรือมีที่ดินทับซ้อนกับที่ดินของรัฐ ได้มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิทำกิน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่