วันนี้ (22 เม.ย.2566) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ หลังประกาศชัดเจนไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เป็นมติพรรค และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก็เห็นด้วย เพราะเป็นแนวทางที่ต้องการเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ที่ผ่านมาก็ย้ำมาตลาด ไม่ใช่พึ่งมาชัดเจนเมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนหลังเลือกตั้งอาจจะพิจารณาจับมือกับพรรคการเมืองที่มีจุดยืนจุดเดียวกัน แต่วันนี้ตั้งใจเดินหน้าหาเสียงชี้แจงนโยบายเต็มที่ เพราะตั้งใจเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
ส่วนกลุ่มคนที่ต้องการเห็นความชัดเจนเรื่องการจับมือจัดตั้งรัฐบาลนั้น นายเศรษฐา ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยชัดเจนมาตลอด และพูดความจริงมาตลอด ว่า ความตั้งใจของพรรคเพื่อไทยคืออะไร ส่วนประชาชนจะเทคะแนนให้หลังจากประกาศชัดเจนไม่จับมือกับทั้ง 2 พรรคนี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจ และอยากให้ดูเรื่องของนโยบายที่พรรคเพื่อไทยต้องการล้มล้างความยากจน สร้างความเสมอภาคให้ประชาชน
ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกว่าพรรคเพื่อไทยไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐก็ไม่เป็นไรนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ก็มีจุดยืน และนโยบายเป็นตัวเอง ซึ่งจะต้องสู้กันที่นโยบายว่า ใครจะทำให้ประชาชนหายจนได้ดีกว่ากัน
นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะขออนุญาต กกต. อนุมัติงบกลาง แก้ปัญหาค่าไฟแพง ซึ่งอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ว่า เป็นเรื่องของความสง่างามในการทำหน้าที่ เพราะเป็นรัฐบาลมานานแล้ว แต่ประชาชนเดือดร้อนเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพลังงานแพงมานานแล้ว และเชื่อว่าประชาชนตัดสินใจได้ว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม ตนเองไม่อยากไปวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย หรือวิธีการทำงานของใคร
ส่วนตัวไม่ได้ขัดแย้งกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีจุดยืนต้องการขจัดความยากจนให้ประชาชน ส่วนจะมีผลต่อคะแนนเสียงหรือไม่นั้น ประชาชนตัดสินใจได้เพราะไม่ได้ดูแค่นโยบายระยะสั้น แต่ต้องดูนโยบายระยะยาวว่าลูกหลานจะอยู่ได้ด้วยนโยบายของใคร ซึ่งในส่วนของเพื่อไทยมั่นใจในนโยบายด้านเศรษฐกิจ และสังคม
ส่วนพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคพลังประชารัฐ และมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค เป็นเจ้าของพื้นที่จะสามารถชิงพื้นที่กลับมาได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลมา 4 ปีแล้ว แต่เหตุใดประชาชนยังเดือดร้อนอยู่ ซึ่งประชาชนเองก็ชัดเจนว่าไม่มีความสุข พร้อมมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยเดินมาถูกทางในการแก้ปัญหาให้ประชาชน