วันนี้ (22 เม.ย.2566) พรรคก้าวไกลจัดปราศรัยใหญ่ ลานหน้าสามย่านมิตรทาวน์ หาเสียงชาวกรุงเทพฯ ในชื่อ “ทัพใหญ่ก้าวไกล โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง” ขนขุนพลเรียกคะแนนเสียงใจกลางเมืองหลวง นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.พรรณิการ์ วาณิช และปิยบุตร แสงกนกกุล
บรรยากาศเต็มไปด้วยมวลชนที่มาต่อแถวรอคิวเข้าฟังการปราศรัย ก่อนเวลาเริ่มงานประมาณครึ่งชั่วโมง และทันทีตั้งแต่เปิดประตูให้เข้างาน ทุกที่นั่งถูกจับจองจากกลุ่มแฟนคลับจนหมด
“ช่อ” อ้อนหัวคะแนนธรรมชาติช่วยหาเสียง
เปิดเวทีด้วย น.ส.พรรณิกา ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ปราศรัยถึงคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของพรรคก้าวไกลว่า เกิดจากหัวคะแนนธรรมชาติ นั่นคือ ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคทุกคน อ้อนขอช่วยดันคะแนนพรรคก้าวไกลให้สูงกว่าวันพรรคอนาคตใหม่ที่โดนยุบให้ได้ภายใน 22 วัน
“วันนี้ทุกโพลเฉลี่ยรวมกัน เราอยู่ที่ 21-22% วันที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจุดที่สูงที่สุดของเรา วันที่เราถูกทุกทำลาย คะแนนนิยมของพรรคอนาคตใหม่อยู่ที่ 31% เหลือเวลาอีก 22 วัน ขอให้ทุกท่านช่วยกันเปลี่ยนคะแนนนิยมจาก 21% ให้ทะลุ 31% ขอแรงพลังจากทุกท่านวันนี้เรามาเพื่อชนะและเพื่อเป็นรัฐบาล ไม่ใช่เพื่อให้คน 400 คนที่ได้เป็น ส.ส. เขต เพื่อให้คน 100 คน ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่วันนี้เราทำงานร่วมกันเพื่อพิสูจน์ว่าพรรคก้าวไกลอันเป็นที่รักของเรา คือพรรคที่จำเป็นต้องมีอยู่และจะมีอยู่อย่างยั่งยืนถาวรตลอดกาลในการเมืองไทย” พรรณิการ์กล่าว
“ปิยบุตร” ชี้ต้องกล้าฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า ไม่กักขังประเทศอยู่ในอดีต
ขณะที่นายปิยบุตร เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ปราศรัยว่า สังคมไทยต้องกล้าฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า อย่ากักขังประเทศอยู่ในความทรงจำปี 2520
และ ปี 2540 ทศวรรษ 2520 เป็นช่วงที่การเมืองไทยอยู่ในยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” มีรัฐธรรมนูญ 2521 ที่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งแต่ต้องให้ทหารเป็นนายกรัฐมนตรี และให้กองทัพกับระบบราชการคุมรัฐบาล พรรคการเมืองรวบรวมคนส่งลงสมัคร ส.ส. ชนะเลือกตั้งด้วยอิทธิพลในพื้นที่และเงิน แล้วแต่ละพรรคก็มารวมกันเป็นรัฐบาลผสม สนับสนุนให้นายพลเป็นนายกรัฐมนตรี มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ให้การสนับสนุน
แต่ละพรรคต่อรองกดดันจนรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ดำเนินนโยบายโดยระบบราชการและเทคโนแครต เศรษฐกิจมุ่งไปที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่และกลุ่มทุนธนาคาร ปล่อยให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ผูกขาด และขูดรีดค่าเช่าทางเศรษฐกิจ นักการเมืองกับระบบราชการร่วมมือกันทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อหาเงินทุนไปทำการเมืองต่อ
ส่วนทศวรรษ 2540 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มุ่งให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ มีระบบตรวจสอบรัฐบาลและประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคไทยรักไทยถือกำเนิดขึ้นมารวบรวม ส.ส. จากพรรคอื่น ๆ ขายนโยบายที่ทันสมัย ทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลายในปี 2544 เมื่อเป็นรัฐบาลก็สามารถส่งมอบนโยบายที่ดีให้กับประชาชนได้
ต่อมาพรรคไทยรักไทยก็ได้ควบรวมพรรคการเมืองอื่น ๆ เข้ามา บวกกับมีผลงานที่ดี ทำให้การเลือกตั้งในปี 2548 อย่างถล่มทลายมากกว่าเดิม ก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
นายปิยบุตรกล่าวต่อไป ว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้จะต้องไม่นำพาประเทศกลับไปอดีต ทั้งแบบ 2520 ที่นโยบายเศรษฐกิจนำไปสู่การส่งส่วยให้กลุ่มทุนใหญ่ ปล่อยให้ขูดรีดค่าเช่าทางเศรษฐกิจ มีพรรคจำนวนมาก ๆ แบบไม่มีอุดมการณ์ ตั้งพรรคมาเพื่อรวบรวม ส.ส. ให้ได้มากพอไปขอแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรี
นักการเมืองจากการเลือกตั้ง พากันสวามิภักดิ์กับชนชั้นนำจารีตประเพณี ทุนผูกขาด และกองทัพ รวมตัวให้ชนชั้นนำจารีตประเพณีคุ้มกะลาหัว แลกกับการมีอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจอยู่บ้าง
และแบบ 2540 ที่นโยบายเศรษฐกิจคิดแต่เพียงกระตุ้นเศรษฐกิจ ขยายเค้กก้อนใหญ่ให้ทุนได้เติบโต แล้วค่อยแบ่งปันให้คนเล็กคนน้อยผ่านบางนโยบาย มีพรรคขนาดใหญ่พรรคเดียวครอบงำ เอา ส.ส.ทุกคนรวมเข้ามาโดยไม่คิดถึงอุดมการณ์ คิดแต่เพียงเพื่อเอาชนะเลือกตั้งให้เด็ดขาด เกิดวิกฤตการเมืองหรือรัฐประหาร ก็ย้ายข้างไปซบทหาร แล้ววันหนึ่งก็กลับมาใหม่
นักการเมืองใช้เสียงข้างมากเจรจาต่อรองกับชนชั้นนำจารีตประเพณี แก้ไขแต่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับชนชั้นนำจารีตประเพณี
“การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย มักเอาความทรงจำในอดีตมากักขังการมองอนาคต พรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้ง อยากมี ส.ส. มาก อยากเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็พิจารณาว่าใครมีโอกาสได้เป็น ส.ส. มีเงิน มีเครือข่ายอิทธิพล ก็ไปดึง ไปดูด เข้ามา เกจิอาจารย์กูรูการเมือง ประเมินว่าใครจะชนะเลือกตั้ง ก็ดูว่าพรรคใดมีคนเคยเป็น ส.ส.มากที่สุด
พรรคใดเคยได้รับความนิยมมาก่อน จะเลือกใครก็ต้องเลือกแบบยุทธศาสตร์ เลือกคนที่มีโอกาสชนะมากที่สุด เพราะกลัวเลือกไปแล้วแพ้ คะแนนตกน้ำ เดี๋ยวไม่ ‘แลนด์สไลด์’ เดี๋ยวเปลี่ยนนายกฯ ไม่ได้ จะเลือกใคร ก็ต้องเลือกด้วยความกลัว ไม่เลือกด้วยความหวัง” ปิยบุตรกล่าว
“ชัยธวัช” ซัดนักการเมืองแบบไทย “อยู่เป็น”
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธร เลขาธิการพรรคก้าวไกล ย้ำว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยตกต่ำ เพราะเราปล่อยให้ฝ่ายหนึ่งที่ต้องการแช่แข็งประเทศไทยไว้ และไม่มีใครหยุด รัฐประหารครั้งหนึ่งไม่พอ รัฐประหารซ้ำสอง เขากล้าฝันหรือไม่ แม้แต่ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร แม้แต่ยิงผู้ชุมนุมทางการเมืองใจกลางเมือง เขายึดอำนาจ เขียนรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งองค์กรอิสระ ย้อนยุคไปหมด
เวลาที่ฝ่ายตรงข้ามกล้าฝัน เขากล้าฝัน เดินหน้าเต็มที่ ขณะที่นักการเมืองแบบไทย ๆ อยู่เป็น นั่งรอ วันไหนมีการเลือกตั้งก็แบ่งอำนาจจากเขา สลับกันไป เวลาพูดถึงความฝันของประชาชน กลับเป็นไปไม่ได้ เราต้องถูกบีบให้เจียมเนื้อเจียมตัว เราจะอยู่กันแบบนี้หรือไม่ เราอยากเห็นระบบการศึกษา เศรษฐกิจดีขึ้น ฯลฯ ทำไมเราฝันไม่ได้
นายชัยธวัช กล่าวถึง การทำงานของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จมาก เพราะกล้าคิดกล้าฝัน ตนเองขอให้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถเป็นไปได้ และหากต้องการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ 14 พ.ค. นี้ ขอให้กาพรรคก้าวไกลให้ถล่มทลาย
“ธนาธร” กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม
นายธนาธร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ปราศรัยว่า ขอพลังผลักดันให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาล กาก้าวไกลประเทศไม่เหมือนเดิม ขอเป็นรัฐบาลสักครั้ง จะสร้างประเทศไทยที่ไปไกลกว่านี้ให้ทุกคนได้เห็น สร้างรัฐสวัสดิการเกิดขึ้นให้ได้ เพราะโจทย์ตอนนี้คือ กล้าคิด กล้าลงมือทำหรือไม่ และก้าวไกลไม่กลัวว่าจะถูกโดดเดี่ยว เมื่อต้องการชนกับต้นตอของปัญหา เพราะเชื่อว่ามีประชาชนเป็นเพื่อน
“พิธา” พร้อมเป็นนายกฯ ย้ำ “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง”
นายพิธาขึ้นพูดคนสุดท้ายบนเวที บอกว่า ปัจจุบันการหาเสียงของพรรคก้าวไกลเข้าฝักเป็นอย่างมาก มีความชัดเจนความตรงไปตรงมา และความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เหลือเวลาอีก 20 กว่าวัน เราจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกัน
ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ประชาชนกว่า 1 ล้านคน มักจะไม่ออกมาใช้สิทธิ์ ตนไม่โทษคนเหล่านี้ เข้าใจถึงการเดินทางที่ยากลำบาก และอุปสรรคอื่น ขอยืนยันว่าพรรคก้าวไกลคือการเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่า ขอให้ทุกคนออกไปเลือกก้าวไกล ให้ถล่มทลาย
สำหรับคนที่ยังไม่ตัดสินใจ ตนอยากบอกว่า พรรคก้าวไกลเชื่อถือได้ ตรงปก มีจุดยืนชัดเจน “มีลุงไม่มีเรา และมีเราไม่มีลุง” ขอให้ทุกคนกาก้าวไกลให้เกิด 9 เปลี่ยน ยึดตามยุทธศาสตร์ การเมืองดีปากช่องดีมีอนาคต
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ แกนนำพรรค แต่ละคนจะดาวกระจายไปทั่วประเทศ ทุกภาค เพื่อหาเสียงโค้งสุดท้าย จากนั้น ทั้งหมดจะกลับมารวมกันที่เมืองหลวงอีกครั้งในวันที่ 12 พ.ค. 2 วันก่อนวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย