สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และ โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ได้พูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันพุธ (26 เม.ย.) ซึ่งเป็นการติดต่อกันครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสอง นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อ 24 ก.พ. 2565
เซเลนสกีกล่าวว่าเขา “ได้คุยโทรศัพท์ที่ยาวนานและมีความหมาย” กับสี ในขณะที่สื่อของรัฐบาลจีนกล่าวว่าผู้นำทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับ “วิกฤตการณ์ยูเครน” และความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ
“ผมเชื่อว่าการโทรศัพท์คุยในครั้งนี้ ตลอดจนการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตยูเครนประจำจีน จะเป็นแรงผลักดันอันทรงพลังในการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีของเรา” เซเลนสกีกล่าวบนทวิตเตอร์
ตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น เซเลนสกีแสดงความสนใจที่จะพูดคุยกับสีอยู่หลายครั้ง โดยถึงแม้ว่าจีนจะประกาศว่าตัวเองเป็นกลางในสงคราม แต่จีนเองเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของรัสเซีย และเจ้าหน้าที่จากชาติตะวันตกหลายคนเชื่อว่า จีนอาจเป็นประเทศเดียวที่มีอิทธิพลเพียงพอกับทั้งยูเครนและรัสเซีย ในการช่วยเจรจายุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างยาวนานนับปี
แต่เจ้าหน้าที่จากทางการจีนหลบเลี่ยงคำถามมานานแล้วว่า สีจะพูดคุยกับเซเลนสกีหรือไม่ แม้ว่าผู้นำจีนจะพูดหรือพบปะกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียอยู่หลายครั้ง รวมถึงระหว่างการเดินทางไปกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 20 มี.ค.โดยก่อนหน้านั้น จีนได้ประกาศกรอบแผนสันติภาพสำหรับยูเครน และดูเหมือนว่าจีนจะพยายามวางตำแหน่งตัวเอง ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ แถลงการณ์ร่วมของจีนและรัสเซียหลังการเยือนไม่ได้กล่าวถึงสงครามยูเครนเพียงเล็กน้อย แต่เน้นไปที่การกระชับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างสองประเทศ
ตามรายงานของ The Council on Foreign Relations ก่อนสงครามจะปะทุขึ้น ความสัมพันธ์ของจีนกับยูเครนมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยภายในปี 2562 จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของยูเครน และเป็นผู้นำเข้าข้าวบาร์เลย์และแร่เหล็กอันดับต้นๆ ยูเครนยังเป็นผู้จัดหาข้าวโพดรายใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นผู้จัดหาอาวุธที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ทั้งนี้ เหลียวหนิงซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน ยังเป็นเรือโซเวียตที่ถูกทิ้งแล้ว ซึ่งจีนซื้อมาจากยูเครนและกองทัพเรือจีนได้นำมาปรับปรุงใหม่ด้วย
การติดต่อครั้งสุดท้ายระหว่างสีและเซเลนสกี เกิดขึ้นในการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ในเดือน ม.ค. 2565 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการรุกรานของรัสเซีย เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปีของความสัมพันธ์ทวิภาคีทางการทูตจีน-ยูเครน แต่หลังจากการรุกราน สื่อของทางการจีนได้นำประเด็นการพูดคุยและข้อมูลที่บิดเบือนของรัสเซียมาใช้รายงานข่าว โดยกล่าวหาว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ยุยงให้เกิดความขัดแย้ง และจีนปฏิเสธที่จะเรียกว่าสงครามของรัสเซียในยูเครนว่าเป็นการรุกราน
ถึงกระนั้น ยูเครนระมัดระวังที่จะไม่สร้างความเป็นปรปักษ์กับจีน โดยคำนึงถึงบทบาทชี้ขาดที่จีนอาจเจ้ามามีบทบาทในสงคราม ตัวอย่างเช่น เซเลนสกีได้เรียกรายงานจุดยืนของจีนเกี่ยวกับสงครามว่า “เป็นสัญญาณสำคัญ” และกล่าวว่า “ผมอยากจะเชื่อจริงๆ” ว่าจีนจะไม่ส่งอาวุธให้รัสเซีย หลังจากเจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตกเสนอว่า จีนอาจส่งอาวุธไปช่วยรัสเซียในสงครามยูเครน แม้ว่าจีนจะปฏิเสธก็ตาม
ในส่วนของจีนเองยืนยันว่า ทั้งยูเครนและรัสเซียเป็นเพื่อนกัน และปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าสีได้ขาดการติดต่อกับเซเลนสกี เพื่อทำลายความเป็นกลางของจีน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จีนได้บ่งชี้ไปที่การสนทนาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศในเดือน มี.ค. ไม่นานก่อนการเดินทางเยือนกรุงมอสโกของสี ซึ่งในระหว่างนั้นจีนกล่าวว่า การเจรจาสันติภาพควรดำเนินต่อไป ตามการสรุปการสนทนาของจีน
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ชาวจีนยอมรับว่า ทางการจีนมีความสนใจในทางปฏิบัติ ในการดูแลความสัมพันธ์กับรัสเซียมากกว่ายูเครน “ทุกวันนี้ ยูเครนยังคงอยู่ในภาวะสงคราม การลงทุนของจีนที่นั่นถูกทิ้งระเบิด และเราไม่รู้ว่ายูเครนจะเป็นอย่างไรในอนาคต” จูเฟิง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิงกล่าว “ความสัมพันธ์จีน-ยูเครนยังมีอยู่หรือไม่”
ที่มา: