รัสเซียได้จัดส่งน้ำมันดิบ 3 ล้านบาร์เรล หรือมากกว่า 100,000 บาร์เรลต่อวัน ไปยังจีนผ่านทางท่อส่งพลังงานในเมียนมา ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. รายงานในครั้งนี้ อ้างอิงจากรายงานของ Energy Intelligence ซึ่งเป็นกลุ่มตรวจสอบด้านพลังงานในสหราชอาณาจักร และผู้ให้บริการข้อมูลและสารสนเทศด้านพลังงานระดับโลก
Energy Intelligence รายงานอ้างอิงจากข้อมูลของท่าเรือการขนส่งเอกชนว่า รัสเซียขนถ่ายน้ำมันดิบที่ท่าเรือน้ำลึกเจาะพยูบนเกาะมาเดในรัฐยะไข่ทางตะวันตกของเมียนมา จากจุดที่ขนส่งผ่านท่อส่งน้ำมันระยะทาง 770 กิโลเมตร ไปยังโรงกลั่นน้ำมันของ PetroChina ในเมืองคุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนานของจีน
Energy Intelligence รายงานว่า การขนส่งน่ำมันไปยังจีนผ่านท่อส่งน้ำมันของเมียนมาบ่งชี้ว่า ผู้ส่งออกน้ำมันของรัสเซียกำลังลองใช้เส้นทางการส่งออกใหม่ในเอเชีย ซึ่งได้เป็นที่รองรับการส่งน้ำมันดิบจำนวนมากจากรัสเซีย นับตั้งแต่สหภาพยุโรปกำหนดมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบของรัสเซีย เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.ของปีที่ผ่านมา
เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา Leonid Loza เรือบรรทุกน้ำมันของบริษัท Sun Ship Management ในดูไบ ได้ขนถ่ายน้ำมันดิบรัสเซียจำนวน 1 ล้านบาร์เรลที่เจาะพยู โดนเรือบรรทุกน้ำมันทำการบรรทุกน้ำมันมาจากท่าเรือโนโวรอสซีสก์ในทะเลดำของรัสเซีย
นอกจากนี้ ตามรายงานของ Energy Intelligence เรือบรรทุกน้ำมันขนาดเดียวกัน ซึ่งบรรทุกน้ำมันมาจากท่าเรือเดียวกัน กำลังเดินทางไปเมียนมาด้วยบนเรือ Fjord Seal ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันที่ติดธงปานามาบนยอดเสาธงเรือ
ในช่วงต้นเดือน เม.ย. กลุ่มติดตามดังกล่าวรายงานว่า รัสเซียกำลังหาผู้ซื้อน้ำมันดิบรายใหม่ในเอเชีย โดยทั้งอินเดียและจีนเป็นชาติผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียไปแล้ว ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา เมียนมาได้รับน้ำมันจากรัสเซียเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ดี Energy Intelligence กล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าเผด็จการทหารเมียนมาจ่ายค่าน้ำมันกับรัสเซียอย่างไร
ท่อส่งน้ำมันที่รัสเซียที่ใช้เพื่อขนส่งน้ำมันดิบไปยังจีนนั้น ได้รับการดำเนินการโดย China National Petroleum Corp ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ PetroChina ที่ถือหุ้นกว่า 50.9% ในบริษัท ทั้งนี้ หุ้นที่เหลือถูกถือโดย Myanmar Oil and Gas Enterprise (MOGE) ที่มีเผด็จการทหารเป็นเจ้าของ
เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ปีที่แล้ว สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรใหม่ ต่อเจ้าหน้าที่เผด็จการทหารเมียนมา รวมถึง “ลูกน้อง” ที่เชื่อมโยงกับเผด็จการทหาร และธุรกิจที่เผด็จการทหารควบคุม รวมทั้ง MOGE โดย MOGE เป็นแหล่งรายได้แหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของเผด็จการเมียนมา และมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาเงินทุนให้การต่อต้านการก่อการร้ายของเผด็จการทหารในเมียนมา
Burma Campaign UK ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักร คว่ำบาตร MOGE โดยทางกลุ่มได้อ้างอิงถึงหลักฐานการมีส่วนร่วมของบริษัทสัญชาติสหราชอาณาจักร ในอุตสาหกรรมก๊าซของเมียนมา นอกจากนี้ Justice For Myanmar (JFM) ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ติดตามธุรกิจของเผด็จการทหาร ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่น คว่ำบาตร MOGE ด้วย
ก่อนการรัฐประหารในปี 2564 ความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมาและรัสเซียจำกัดอยู่แค่การซื้อขายอาวุธ และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ทหารเมียนมาที่สถานศึกษาและมหาวิทยาลัยของรัสเซีย อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่สงครามของรัสเซียในยูเครนเป็นต้นมา ซึ่งตามมาด้วยการถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก รัสเซียได้กลายมาเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ของเมียนมา และเดินหน้าการประสานงานในภาคส่วนอื่นๆ ตั้งแต่การทูตไปจนถึงการค้าและพลังงาน
มินอ่องหล่ายน์ ผู้นำรัฐประหารเมียนมา ให้คำมั่นว่าตัวเองจะมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่อง ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือกับรัสเซีย ทั้งนี้ มินอ่องหล่ายน์ได้พบกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียเป็นครั้งแรกในเดือน ก.ย. 2565 ที่รัสเซีย
ที่มา: