ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ 5% ถึง 5.25% นับว่าเป็นการปรับดอกเบี้ยขึ้นสูงที่สุดในรอบ 16 ปี
ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในรอบสี่ทศวรรษ ซึ่งเฟดยืนยันมาโดยตลอดว่านี่คือวิธีการรับมือเงินเฟ้อ ประชาชนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องกู้ยืมเงินเพราะจะทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมนั้นสูงขึ้น
แม้การรายงานของหลายสำนักข่าวจะชี้ว่านี่อาจเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบนี้หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 10 ครั้งติดต่อกัน ด้านประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจโรม พาวเวลล์ได้มีการเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะมีการหยุดขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ทุกฝ่ายต้องจับตากันต่อไป
ทั้งนี้จากคำแถลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่าการเดินหน้าปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องสามารถแก้ไขสถานการณ์เงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน และบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่กำลังร้อนแรงได้มากนัก
ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ได้พุ่งไปแตะสูงสุดจุดสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายนของปีที่แล้ว ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 5% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามนั่นยังคงเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเป้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตั้งไว้ที่ 2% อยู่มาก