‘พรหมินทร์-กิตติรัตน์-ปานปรีย์’ เปิดหลักคิด “รดน้ำที่ราก คืนประชาธิปไตยกินได้” ‘ศุภวุฒิ’ เปิดตัวครั้งแรก ร่วมเดินหน้าสร้างความมั่งคั่ง คืนโอกาสสู่ประชาชน คิดใหญ่หลายเรื่อง วางเป้าไกลมาก และอธิบายแต่ละขั้นตอนกว่าจะไปถึง
วันที่ 12 พ.ค. พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ, กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ, ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ, ปานปรีย์ พหิทธานุกร , เผ่าภูมิ โรจนสกุล กรรมการ เลขานุการ และโฆษกร่วมแถลงข่าว ‘ฟื้นเศรษฐกิจประเทศหลังเลือกตั้ง โดยรัฐบาลเพื่อไทย’ ที่ พรรคเพื่อไทย
‘คำใหญ่’ ใครก็พูดได้ คิดมา 6 ปี ทำการบ้านกับทุกภาคส่วน
นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทยที่ประกอบด้วยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย นายพันศักดิ์ วิญยรัตน์ ประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของ 3 นายกรัฐมนตรี และผู้มากประสบการณ์ในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรค ขอประกาศถึงความพร้อมในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยเพื่อประโยชน์ประชาชนทุกกลุ่ม พร้อมย้ำว่านโยบายของพรรคเพื่อไทย เป็นการเชื่อมประสานกัน เพื่อความมุ่งหมายหลัก คือ “ประชาธิปไตยกินได้” คือ เศรษฐกิจควบคู่การเมือง เศรษฐกิจจะดีได้ประชาชนต้องมีเสรีภาพ ทั้งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพและโอกาสในการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างเป็นธรรม
หลักสำคัญคือ รดน้ำที่ราก ต้นไม้เศรษฐกิจของเราจึงจะแข็งแรงมั่นคงไปด้วยกัน ประชาชนทุกกลุ่มได้ประโยชน์ด้วยกัน ทุกส่วนมีรายได้เกื้อหนุนกัน คนรุ่นใหม่เติบโตด้วยความหวัง มีงานทำ มีโอกาสหารายได้ใหม่
นพ.พรหมินทร์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเหล่านี้ร่วมกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งต่างมีความเห็นที่สอดคล้องกับนโยบายของพรรค และมีความเชื่อมั่น เราจึงมีความพร้อมสูงมาก ใช้เวลารวมกว่า 6 ปี ในการกลั่นนโยบาย และในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้เร่งนำนโยบายไปพูดคุยกับทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์กร/ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว – เทคโนโลยี – เกษตร ผู้ประกอบการ คนทำงานทุกสาขาอาชีพ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทูตานุทูต EU สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ได้รับการตอบรับ และได้รับข้อเสนอเพิ่มเติมในรายละเอียด ซึ่งพรรคนำกลับมาปรับแก้ไขเพื่อให้เกิดความกลมกล่อมในการบริหาร
“ผมขอยืนยันว่า โยบายเหล่านี้พร้อมทำได้จริง ทำได้ทันที พรรคเพื่อไทยสามารถฟื้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ฟื้นคืนเกียรติภูมิประเทศไทยในเวทีโลกอีกครั้ง ที่สำคัญที่สุดคือประชาชนไทย จะได้รับการดูแล ได้รับประโยชน์สูงสุดก่อน เราพร้อมแล้วทุกด้าน ผู้นำพร้อม นโยบายพร้อม ทีมงานพร้อม เลือกเพื่อไทยเพื่อสร้างความมั่งคั่ง เลือกเพื่อไทยเพื่อขจัดความยากจน เลือกเพื่อไทยเพื่อเปลี่ยนความฝันให้เป็นความหวัง เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เปลี่ยนประเทศทันที” นายแพทย์พรหมินทร์ กล่าว
วิธีบริหารแบบ ‘สมาร์ท’ รัฐไม่โตมาก แต่ฉลาด
ศุภวุฒิ สายเชื้อ กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยอยู่บนพื้นฐานการหยิบยื่นโอกาสให้ประชาชนสามารถสร้างรายได้ สร้างความมั่งคั่ง ทำให้เศรษฐกิจโต เพื่อให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น มีเงินเพียงพอในการดูแลประชาชนไม่ให้ตกหล่น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ยึดถือมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงที่ประเทศเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟ จึงได้ดำเนินนโยบายอย่างครบถ้วน
ผลจากการขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ในช่วงเวลา 6 ปีนั้น ทำให้ GDP ไทยโตเฉลี่ย 5.4% เทียบกับเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ทหารเข้ามายึดอำนาจ ปี 2557-2562 ไทยมี GDP โตเพียง 3% ต่อปี ทั้งนี้ การที่ GDP ไทยโตเร็วจะสามารถแก้หนี้สาธารณะได้ เช่นตอนที่พรรคไทยรักไทยเข้ามารับตำแหน่ง หนี้สาธารณะอยู่ที่ 58% ของ GDP เมื่อถูกปฏิวัติ หนี้สาธารณะของไทยเหลือ 39% ของ GDP ล้วนมาจากแนวคิดขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งภาพใหญ่และภาพเล็กก่อนหน้าจะมีการปฏิวัติ
“แนวคิดนี้ต่างจากรัฐสวัสดิการ ตรงที่รัฐสวัสดิการต้องให้รัฐบาลมีขนาดใหญ่มากๆ ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย รัฐบาลต้องกำกับทุกอย่าง แต่ถ้าไปดูการเก็บภาษีต่อ GDP ของประเทศรัฐสวัสดิการ เช่น นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน จะเก็บภาษี 50-60% ของ GDP ประเทศไทยเก็บภาษี 20% ของ GDP ดังนั้น จึงเป็นแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องการให้รัฐบาลมีขนาดไม่ใหญ่มาก คือ การกระจายอำนาจ หากมีการเก็บภาษี 40% จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจทางเศรษฐกิจทั้ง 40% ของ GDP แต่เราต้องการกระจายอำนาจ เพราะว่าเราเชื่อว่าประชาชนมีความสามารถ โดยมีรัฐบาลเพื่อไทยเป็นทีมขับเคลื่อนอยู่ข้างหลัง” ศุภวุฒิกล่าว
ศุภวุฒิ ยกตัวอย่างโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ในเชิงเศรษฐกิจ สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงการประกันสุขภาพจาก 69% ในปี 2544 เพิ่มขึ้นเป็น 97% ในปี 2549 ลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุขไปได้ 20 ล้านคน และช่วยให้คนไม่เข้าสู่ความเสี่ยงล้มละลายเนื่องจากค่ารักษาพยาบาลถึง 2 แสนครอบครัว โดยที่การใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ยังคงเท่ากับ 3.1% ทั้งในปี 2544 และปี 2549 ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะ GDP ก็โตขึ้นด้วย นี่คือ Smart Government ที่ให้เกิดขึ้น
ในขั้นต่อไป เพื่อไทยจะอัปเกรดโครงสร้างภาคสาธารณสุขให้สมบูรณ์กว่าเดิม ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพรายบุคคลมากกว่าแค่การรักษาทุกโรค นัดคิวออนไลน์ ตรวจได้จากคลินิกใกล้บ้าน ลดการแออัดในโรงพยาบาล บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทั่วไทย พร้อมดูแลให้คนอายุน้อยมีคุณภาพที่ดีตั้งแต่เด็ก เช่น ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีให้กับเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี ตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับและไวรัสตับชนิดที่มีความเสี่ยงให้มะเร็งตับฟรี
เศรษฐกิจหนักจริง SMEs 20% จ่ายดอกเบี้ยไม่ไหว
ศุภวุฒิ ระบุอีกว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และพบว่าเอสเอ็มอีในประเทศเริ่มมีปัญหาทางการเงิน เป็นหนี้สงสัยจะสูญ หรือเริ่มจ่ายดอกเบี้ยไม่ได้ 20% ของสินเชื่อเอสเอ็มอี หนี้ส่วนบุคคลเอ็นพีแอลแตะ 20% เป็นเหตุผลที่เราต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ให้ฟื้นตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าเป็นต้นไป
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยได้รับการติดต่อจากประเทศต่างๆ กำลังสนใจเจรจาการค้าและเศรษฐกิจ อาทิ นักลงทุนจากจีน เกาหลีใต้ รวมถึงญี่ปุ่นที่มีเม็ดเงิน 5,000 ล้านเหรียญ สำหรับการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาเป็นประเทศอื่น หรือการที่สิงคโปร์ขึ้นภาษีชาวต่างชาติที่ซื้อบ้านในสิงคโปร์จาก 30% เป็น 60% ทำให้เขาเริ่มมองหาประเทศอื่นแทน ซึ่งเรามองว่าเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสของประเทศไทย
นโยบายเชื่อมโยงกันหมด ไม่ได้มองเป็นส่วนๆ
กิตติรัตน์ กล่าวว่า การทำให้เศรษฐกิจเติบโต ไม่ใช่เพียงแต่ด้านอุปสงค์ กำลังซื้อ หรือความต้องการสินค้าในตลาดต่างประเทศเท่านั้น ฝั่งการผลิตหรืออุปทานถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เช่น ปัญหา IUU ที่ทำให้เรือประมงหายไปกว่า 30,000 ลำ ทั้งที่สามารถผลิตอาหารทะเลป้อนตลาดและส่งออกต่างประเทศได้ แต่ฝั่งอุปทานหายไป ไม่มีความใส่ใจแก้ไข รวมทั้งอุตสาหกรรมภาคการผลิต ธุรกิจบริการ หรือธุรกิจการเกษตรที่ต้องเพิ่มผลิตภาพ เพื่อทำให้ประชาชนภาคส่วนต่างๆ มีรายได้ที่สูงขึ้น สอดคล้องกับผลิตภาพที่สูงขึ้นด้วย เมื่อมีรายได้ที่ดีพร้อม ผู้ประกอบการจะสามารถจ่ายค่าตอบแทนในอัตราที่สูงขึ้นได้
“ขอให้ภาคการผลิต ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ นักลงทุน เกษตรกรทุกสาขา มีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลในยุคไทยรักไทย รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญเรื่องวินัยการเงินการคลังเป็นอย่างยิ่ง นโยบายด้านภาคการผลิต ที่จะต้องผลักดันในช่วงต้นๆ ต้องอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงิน การคลัง อย่างรอบด้าน” กิตติรัตน์กล่าว
กิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงนโยบายโฉนด 50 ล้านไร่ ซึ่งดูเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมความจริงแล้วเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่เอาโฉนดมาซื้อใจประชาชนที่อยู่ในป่าที่สาธารณะอย่างที่ถูกโจมตี จากการลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจำนวนมากอาศัยบนที่ดินทำกินนั้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยข้อกฎหมายควรจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ นโยบายโฉนดถ้วนหน้า 50 ล้านไร่ เพื่อให้ประชาชนได้รับสิทธิ์อันควรและจะมีผลทางเศรษฐกิจ เพิ่มพื้นที่สีเขียวในระบบนิเวศควบคู่ไปกับนำเอาที่ดินเป็นหลักประกันสินเชื่อได้ เพื่อนำไปปรับปรุงพื้นที่การผลิต ให้มีผลผลิตต่อไร่ที่สูงขึ้นและดีขึ้น ส่งผลไปถึงการลดปัญหา PM 2.5 ซึ่งการท่องเที่ยวจะดีขึ้นด้วย
“พรรคเพื่อไทยมองภาพรวมครบ ไม่ได้ประกาศนโยบายแต่ละชิ้นมาเพื่อเพียงเอาใจผู้ที่รับผลประโยชน์ทางตรง แต่ทั้งหมดจะรวมกันกลายเป็นเศรษฐกิจที่ดี” กิตติรัตน์กล่าว
มองภูมิรัฐศาสตร์ชัด การค้าระหว่างประเทศเล็งไว้หมดแล้ว
ปานปรีย์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาความยากจน สร้างรายได้ สร้างงานให้กับประชาชน เกษตรกร ภาคการผลิต และเอสเอ็มอี ที่ผ่านมาในรัฐบาลไทยรักไทยมีแนวคิดเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน คือ Dual track policy คือ การให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งแนวคิดนี้ยังทันสมัย และเรามีนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลเพิ่มเติม ทุกอย่างจะสามารถส่งเสริมกันในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในนโยบายการค้าต่างประเทศ หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มี 3 ด้าน
1.เป็นมิตรทางการค้ากับทุกประเทศ โดยไม่เลือกข้างเด็ดขาด เพราะการค้าคือ หัวใจในการส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น
2.ดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ขณะนี้จีนมีแนวคิดย้ายฐานการผลิตออกมาและเชื่อว่าอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ตอนนี้เวียดนามได้รับประโยชน์ ส่วนไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย หากเราสามารถแก้ไขอุปสรรคด้านกฎหมายด้านการค้า การลงทุน และมาตรการทางภาษี นานาประเทศจะแห่มาลงทุนในไทย
3.การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เรามีความชำนาญ และดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย ที่ผ่านมาเราเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA แล้วเสร็จ 14 สัญญากับ 18 ประเทศ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเจรจาการค้า ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี และจะเจรจาเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่คืบหน้า ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะ FTA ไทย-อียู ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจในการเปิดการค้า FTA ใหม่ ๆ เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง หรือ GCC ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังการจับจ่ายสูงเงิน เราจะกึงเม็ดเงินตรงนี้เข้าสู่ประเทศ
“ภูมิรัฐศาสตร์ การต่างประเทศและเศรษฐกิจมหภาค เป็น 3 เรื่องเดียวกัน ที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน เราไม่สามาถละเลยที่จะแก้ปัญหาได้ จึงจำเป็นต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารประเทศ ไม่ใช่เวลาจะมาทดลองงานกันใหม่ ถ้าทดลองงานใหม่ ประเทศไทยจะเดินช้าลงไปอีก” ดร.ปานปรีย์ กล่าว
ลุยเศรษฐกิจดิจิทัล คิดครบวงจร บันได 3 ขั้น
เผ่าภูมิ กล่าวว่า วันนี้เป็นโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการเลือกตั้งที่จะเห็นมิติการเปลี่ยนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่บอบช้ำจากวิกฤติมากมาย
เศรษฐกิจดิจิทัลปัจจุบันวิ่งเร็วและในที่สุดก็จะวิ่งแซงเศรษฐกิจพื้นฐาน ประเทศไทยต้องวิ่งตามให้ทัน ทั้งหมดเป็นคำตอบว่า เหตุใดพรรคเพื่อไทย ถึงให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล เปลี่ยนประเทศไทยให้ก้าวสู่สังคมยุคดิจิทัล ด้วยยุทธศาสตร์ ‘ดิจิทัล ไลฟ์ ไทยแลนด์’ ผ่านโรดแมพ 3 ขั้น
ขั้นที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่ใช้เทคโนโลยีในระดับกลาง และเพิ่มทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล ต่อยอดด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการศึกษาระดับประเทศที่มีชื่อว่า Learn to Earn ที่เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการเชื่อม 3 ภาคส่วนเข้าด้วยกัน คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และภาคการศึกษา ต่อยอดด้วยการสร้างคนในยุคดิจิทัลผ่านนโยบาย 1 ตำบล 1 ไอทีแมน
ขั้นที่ 2 การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีระดับสูงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตในการยกระดับระบบการชำระเงินใหม่ของประเทศ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนขึ้นมา เป็นเครื่องยืนยันว่า หลังจากเสร็จโครงการนี้ ประเทศไทยพร้อม ประชาชนพร้อม สำหรับการชำระเงินรูปแบบใหม่ด้วยบล็อกเชน และจะกลายเป็นประเทศแรกแรกในโลกที่มีระบบนี้ในการเปิดรับประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
เมื่อโครงสร้างพร้อม ภาคเอกชนต้องพร้อมด้วย ภาคเอกชนต้องการเงินทุน และเงินทุนสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลนั้นไม่ได้มาจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร ไม่ได้มาจากการตั้งกองทุนต่างๆ แต่มาจากการลงทุน พรรคเพื่อไทยสนับสนุนระบบระดมทุนคู่ขนาน คือ ตลาดหลักทรัพย์ในการลงทุนสำหรับการลงทุนในเศรษฐกิจพื้นฐาน และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ดิจิตอล แอสเซท ในการระดมทุนเศรษฐกิจดิจิทัล 2 เสาหลักนี้จะเดินไปด้วยกัน และได้การสนับสนุนและได้รับการผลักดันจากพรรคเพื่อไทย เมื่อภาคเอกชนพร้อม ภาครัฐก็ต้องพร้อม จึงประกาศนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ทำให้รัฐบาลเป็นระบบดิจิทัลอย่างเป็นรูปแบบ ข้อมูลในทุกกระทรวง จะต้องเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน เราสนับสนุนการใช้บล็อกเชนในภาครัฐ เพื่อทำให้ภาครัฐเป็นภาครัฐที่โปร่งใสมีดิจิตทัลฟุตพริ้นท์
ขั้นที่ 3 จะหาเงินเข้าประเทศด้วยดิจิทัล เปิดเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา ในการเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินที่จะลงทุนเข้ามาผ่านการลงทุนจากการต่างประเทศ ในเขตธุรกิจใหม่ มีกฎหมายธุรกิจชุดใหม่ มีสิทธิประโยชน์ใหม่และเรามีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ นอกจากนี้ยังผลักดันเรื่องสนธิสัญญาการค้าระดับประเทศ Digital economy partnership agreement