‘นายกฯ พิธา’ คนแห่เชียร์ขบวน ‘ก้าวไกล’ ขอบคุณคะแนนเสียง จากอนุสาวรีย์ปชต. สู่ลานคนเมือง ‘ชูวิทย์’ โผล่ย้ำ ‘ภูมิใจไทย’ ต้องเป็นฝ่ายค้าน
ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พบว่า ประชาชนมารอให้กำลังใจ พรรคก้าวไกล แน่นขนัดทั่วพื้นที่ หลังทราบข่าวว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะขึ้นรถแห่มาขอบคุณประชาชนชาว กทม. ที่ เทคะแนนเสียงเลือก ส.ส.เขต พรรคก้าวไกล รวมทั้งสิ้น 32 เขต จาก 33 เขต
โดยทันทีที่ พิธา มาถึง มวลชนต่างเปล่งเสียงโห่ร้องเรียก “นายกฯ พิธา” ซ้ำๆ หลายครั้ง บางส่วนมีการมอบดอกไม้ รวมถึงของที่ระลึกต่างๆ ให้กับ พิธา และ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ด้าน ข้าราชการ กทม. ที่อยู่ภายในศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร มีการโบกมือทักทายขบวนแห่พรรคก้าวไกลเช่นกัน
การปรากฏตัวครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของ พิธา และสมาชิกพรรคต่อสาธารณชน หลังจากที่พรรคก้าวไกลสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง 2566 (อย่างไม่เป็นทางการ) และมีแนวโน้มในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ทั้งนี้แกนนำพรรคได้ปราศรัยถึงกระบวนการจัดตังรัฐบาลด้วยว่าในเวลานี้มีเสียงในการจัดตังรัฐบาลอยู่ที่ 309 เสียง ที่พรรครวมฝ่ายค้านเดิมมีอยู่นั้น แม้จะเป็นคะแนนเสียงที่สามารถจัดรัฐบาลที่มีความเข้มแข็งได้ แต่ในกติกาที่ไม่เป็นธรรมของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ว. 250 คนมีสิทธิโหวตนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. ด้วย ฉะนั้นการชนะการเลือกตั้งของฝ่ายเดิมถือเป็นฉันทามติของประชาชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง และหวังว่า ส.ว. จะไม่ต้านทานกระแสความต้องการของประชาชนได้
สำหรับเส้นทางขบวนรถแห่พรรคก้าวไกลในวันนี้ เริ่มต้นจากด้านหน้าแมคโดนัลด์ สาขาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผ่านหน้าร้านอาหารเมธาวลัย ศรแดง ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนดินสอ มุ่งหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ก่อนจะจอดปราศรัยที่ลานคนเมือง ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
ขณะเดียวกัน เวลา 17:30 น. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ผู้รณรงค์ต่อต้านนโยบายกัญชาเสรี ก็มาร่วมให้กำลังใจ พร้อมนำป้ายข้อความระบุว่า “พรรคภูมิใจไทยต้องเป็นฝ่ายค้าน” มาทวงถามจุดยืนพรรคก้าวไกลด้วย
เวลา 18:00 น. ขบวนแห่พรรคก้าวไกลเคลื่อนตัวเข้าสู่ถนนระหว่างด้านหน้าศาลาว่าการ กทม. กับ ลานคนเมือง เพื่อจอดพูดคุยปราศรัยกับประชาชน ตอนหนึ่งมีการย้ำเจตนารมณ์ของพรรคว่า “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” และขอบคุณประชาชนที่ไว้วางใจ พร้อมย้ำว่า นโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหารจะต้องเกิดขึ้น และเปลี่ยนเป็นความสมัครใจ ทหารไม่ได้หายไปไหน แค่เปลี่ยนระบบการรับเข้า ไม่ได้ยกเลิกทหารโดยสิ้นเชิงแบบที่หลายฝ่ายนำไปพูด