‘แสวง’ เลขาฯ กกต. นำแถลงผลงานในรอบ 25 ปีของ กกต. เผยเลือกตั้ง 2566 ประชาชนใช้สิทธิมากที่สุด-บัตรเสียน้อยที่สุด ยันจัดการเลือกตั้งทุกระดับอย่างเที่ยงธรรม เดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
วันที่ 9 มิ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แถลงผลงานขององค์กรเนื่องในวันครบรอบสถานปนา 25 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2540 โดยเฉพาะเรื่องของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 ในวันที่ 7 พ.ค. และ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา โดย แสวง กล่าวว่า นับตั้งแต่ 1 มิ.ย. 2541 นับเป็น 25 ปี คิดเป็นคนรุ่นวัยหนุ่มสาวเต็มไปด้วยพลัง และพร้อมจะเติบโตต่อไป สำนักงาน กกต. ก็พร้อมจะเติบโตไปกับสังคมไทย และพร้อมจะเป็นกลไกหลักในการจัดการเลือกตั้งอย่างมืออาชีพ และดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยได้ตระหนักถึงการมีเลือกตั้งที่ดี คือ มีความชอบธรรมในเชิงคุณภาพของคะแนนเสียง และต้องเป็นไปโดยอิสระไม่อยู่ภายใต้อามิจสินจ้าง ซึ่งที่ผ่านมามีการร้องเรียนการเลือกตั้ง 280 เรื่อง ซึ่งน้อยที่สุดเท่าที่ผ่านมา และมีความชอบธรรมเชิงปริมาณ นั่นคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดอนาคตของประเทศ
แสวง กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งในเขต นอกเขต และนอกราชอาณาจักร มีประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ 75.20% และมีบัตรเสียน้อยกว่า 5% และ กกต. ยังคงตระหนักถึงเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง บริหารการเลือกตั้งให้ถูกต้อง อำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งไม่ว่าจะระดับชาติ หรือระดับท้องถิ่น กกต. ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชน องค์กรเอกชน สื่อมวลชนทุกแขนง หน่วยงานภาครัฐที่ร่วมเป็นภาคีเครือข่าย และผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง คณะกรรมการประจำหน่วยก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จึงขอขอบคุณบุคคลดังกล่าวในโอกาสนี้
แสวง กล่าวอีกว่า ก้าวสู่ปีที่ 26 กกต. จะยังคงตระหนัก และมุ่งมั่นทำหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นกลไกในการพัฒนาการเมือง และเป็นการเลือกตั้งของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด และสัญญาว่า จะจัดการเลือกตั้งในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติ หรือระดับท้องถิ่น ให้เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม ดูแลเจตนารมณ์ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้การเมืองดี การบริหารจัดการบ้านเมืองดี และดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบไป