เพราะสถานการณ์การเลือกตั้ง ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ไว้ว่า “พรรคเพื่อไทย” จะแลนด์สไลด์ ประกอบกับข่าวคราวเรื่องท่าทีล่าสุด จากคนในตระกูลชินวัตร ที่อ้างว่า “ไม่อยากให้กลับมา” เกรงจะถูกหลอก
นายทักษิณ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของไทย ถูกรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 โดยพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในขณะนั้น ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ที่มหานครนิวยอร์ค
เขาเคยเดินทางกลับประเทศไทยครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 หลังพรรคพลังประชาชน ชนะการเลือกตั้ง เป็นที่มาของภาพคุกเข่าลงกราบและจูบแผ่นดินประเทศไทย ปรากฏเป็นภาพจำสำหรับเหตุการณ์วันนั้น
นายทักษิณ ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ในคดีซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ของคุณหญิงอ้อ พจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นคดีแรกที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสิน
นอกจากนี้ยังมีอีกอย่างน้อย 3 คดี ที่มีคำพิพากษาไปแล้ว คือคดีปล่อยกู้ของแบงก์กรุงไทยที่อนุมัติกู้เงินให้กับ EXIM BANK ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี
คดีออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัว 3 หรือ คดีหวยบนดิน ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี และคดีแก้ไขค่าสัมปทานมือถือเอื้อ บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ศาลฎีกานักการเมืองลงโทษจำคุก 5 ปี ทั้ง 3 คดีไม่รอลงอาญา และทั้ง 3 คดี ศาลมีคำสั่งออกหมายจับให้นายทักษิณกลับมาต้องคำพิพากษา
แต่ล่าสุดจากคำให้สัมภาษณ์ของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ยังไม่มีการประสานกับทางเจ้าหน้าที่เรื่องกลับไทย
สอดคล้องกับ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ที่ยืนยันว่า ยังไม่ได้มีการประสานจากนายทักษิณ หรืออาจไม่ต้องประสานมาก็ได้ แต่ทาง สตม.จะปฏิบัติตามกฎหมาย ควบคุมตัวเข้าเรือนจำทันทีได้เลย
ประกอบกับมีข่าวล่าสุด อ้างว่าคนในตระกูลชินวัตร รวมทั้ง คุณหญิงอ้อ ไม่เห็นด้วยกับการเดินทางกลับไทยของนายทักษิณในตอนนี้ เพราะไม่มั่นใจว่าจะถูกหลอกหรือไม่ อยากให้ทอดเวลาออกไปก่อน และเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
เท่ากับเรื่องเดินทางกลับไทยของนายทักษิณ ชักไม่แน่นอนอีกแล้ว เหมือนกับที่ให้สัมภาษณ์หรือเคยโพสต์มาหลายครั้ง
กระทั่งผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อคำพูด และมองว่าเป็นเพียงลูกเล่นหรือวาทกรรมที่หวังกระตุ้นมวลชนคนเสื้อแดง ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ไม่เคยทำจริง
ขณะที่เรื่องการประสานขอกลับไทย ถึงอย่างไรก็ต้องมีการประสานงานล่วงหน้า หรือมีข้อตกลงในระดับหนึ่งแน่ ๆ เพราะคงไม่อยากให้เกิดภาพจำ ถูกเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวทันที ที่เดินทางเข้าประเทศ หรือมีเหตุการณ์มะรุมมะตุ้มไม่สู้ดีเกิดขึ้น แต่คงอยากมีภาพมวลชนที่ยังสนับสนุน ไปรอต้อนรับ และชูป้ายให้กำลังใจที่สนามบินมากกว่า
แม้จะมีข่าวลือและแชร์กันในโลกโซเชียลว่า นายทักษิณ จะได้อานิสงส์จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ.2566 ที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2566 ในระเบียบฉบับนี้ มีกำหนดให้ใช้วิธีการกักกันกับผู้ที่เคยถูกศาลพิพากษาให้จำคุกพ่วงอยู่ด้วย
จึงถูกวิพากษ์ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์และรองรับการกลับมาของนายทักษิณหรือไม่ คือไม่ต้องติดคุกเข้าเรือนจำจริงเหมือนผู้ต้องขังคนอื่น ๆ แต่สามารถนำตัวไปกักกันในที่อื่น รวมทั้งที่บ้านได้ด้วp
ร้อนถึงนายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณฑ์ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ต้องรีบออกโรงแจกแจง ยืนยันเป็นเรื่องของคนกระทำผิดซ้ำ หรือยังมีโทษจำคุกหรือกักขังอยู่ ต้องโดนต่อไป ไม่เกี่ยวกับนายทักษิณ โดยนายวิษณุ ย้ำว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ต้องเข้าเรือนจำไม่ใช่กักกัน
แต่สำหรับนายทักษิณ ย่อมรู้สึกผูกพัน อยากได้เลี้ยงดูหลานทั้ง 7 คน อย่างใกล้ชิด พร้อมจะเข้าสู่ขั้นตอนการรับโทษ โดยไม่ต้องอาศัยตัวช่วยใด ๆ และด้วยวัยในปัจจุบัน อาจมองไกลไปถึงเวลาที่จะโดนติดคุกจริง จะลดน้อยถอยลง ยิ่งหากทำตัวเป็นผู้ต้องขังชั้นดี ยังมีโอกาสได้รับอภัยโทษโดยพระราชกฤษฎีกา และได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เป้าหมายการได้กลับคืนแผ่นดินแม่ แม้ไม่อาจกล่าวว่าชนะหรือแพ้ แต่อย่างน้อย ได้อยู่ใกล้ชิดพร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัวแล้ว เมื่อถึงเวลาอันควรต้องจากโลกนี้ไป ยังมีแผ่นดินคอยกลบฝังร่างได้ ดีกว่าต้องถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า ว่าต้องระเหเร่ร่อนและจบชีวิตในต่างแดน
จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ของชีวิตนักการเมือง
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา
