วันนี้ (12 มิ.ย.2566) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดแถลงข่าวกรณีมีข้อมูลหุ้น ITV หลังจากการรายงานข่าว โดยระบุว่าที่มีนัยสำคัญมาก 2 ประการดังนี้
1.ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 กับรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท ในประเด็นว่าไอทีวี ยังดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ซึ่งหากดูจากคลิปดังกล่าว เกิดขึ้นหลังการรับสมัครเลือกตั้ง นายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ในฐานะผู้ถือหุ้น ถามว่าบริษัทไอทีวี) มีการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือทีวีหรือไม่
จากนั้น นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุม ตอบอย่างชัดเจนว่า
ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ”
แต่เอกสารรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของไปอทีวี กลบับนทึกไม่ตรงกัน ระบุคำตอบนายคิมห์ ได้ตอบคำถามว่า นายคิมห์ ได้ตอบคำถามนายภานุวัฒน์ว่า
ปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ
อ่านข่าวเพิ่ม “โรม” ชี้คลิปประชุมผู้ถือหุ้น ITV จริงไม่ตัดต่อ เชื่อถูกขวางตั้งรัฐบาล
นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า หลังจากทำรายงานประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีออกมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้นำเอกสารนี้ไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา
และก่อนหน้านั้น นายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 24 เม.ย.2566 ก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของไอทีวีเพียง 2 วัน
นักการเมืองที่กำลังถือหุ้น ITV เตรียมตัวประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต.ด้วยนะครับ หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น”
ทั้งนี้โพสต์ดังกล่าวป็นที่น่าสงสัยว่ามีการวางแผนให้ นายภาณุวัฒน์ ผู้รับโอนหุ้นมาจาก นายนิกม์ และยังเป็นผู้จัดการคลินิกของครอบครัวของนายนิกม์ด้วยนั้น ไปตั้งคำถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี เพื่อต้องการให้ผู้บริหารของไอทีวีตอบว่า ไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ ใช่หรือไม่
แต่เมื่อนายคิมห์ ตอบว่าไอทีวียังไม่มีการดำเนินกิจการสื่อ แต่ภายหลังกลับมีการบันทึกการประชุมให้เข้าใจได้ว่า ปัจจุบันไอทีวียังดำเนินกิจการสื่ออยู่ พฤติการณ์นี้เข้าข่ายการทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเท็จหรือไม่ และถือเป็นการทำผิดกฎหมายอีกหลายฉบับ
ชี้พิรุธ “ฟื้นชีพไอทีวี”สกัดตั้งรัฐบาล
เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระุบว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัทไอทีวี รวมทั้ง นายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทาน และแก้ไขรายงานการประชุม ต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ชัดเจน และเป็นที่น่าสังเกตว่า นายจิตชาย ยังเป็นผู้บริหารสายงานกฎหมาย และเลขานุการบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของไอทีวีอีกด้วย
ทำให้มีคำถามว่า บริษัท อินทัช รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับแก้ไขรายงานให้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในการประชุมด้วยหรือไม่
ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นหนึ่งในข้อพิรุธ นายพิธา ได้เคยตั้งคำถามไว้ว่า นี่คือความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาล ตามฉันทานุมัติของประชาชนผ่านการเลือกตั้งใช่หรือไม่
ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส. ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 143 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
นอกจากนี้เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุว่า ประเด็นที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างความขัดแย้งกันระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 กับแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มื่อวันที่ 10 พ.ค.2566 รวมถึงเอกสารงบไตรมาสแรกปี 2566 ของไอทีวี
ข้อพิรุธนี้ หากพิจารณาใจความสำคัญของข้อความที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขในบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นของไอทีวี กล่าวคือแก้ไขคำตอบของนายคิมห์ ตอบนายภานุวัฒน์ ที่มีการแก้ไขคำตอบว่า จากตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใด รอผลคดีความให้สิ้นสุด กลายเป็นบริษัทยังดำเนินการตามวัตถุประสงค์ และยังมีการส่งงบการเงินและเสียภาษี
เรื่องดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องกับแบบนำส่งงบการเงิน ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าก่อนวันเลือกตั้ง 4 วัน และเป็นวันเดียวกับที่ นายเรืองไกร ไปยื่นร้องต่อ กกต.หรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาแบบนำส่งงบการเงิน ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า งบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2565) จะพบว่ามีการระบุประเภทธุรกิจว่า “สื่อโทรทัศน์” และระบุสินค้า/บริการว่า “สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน”
ข้อความจากเดิมที่เอกสารงบการเงินของไอทีวีในปีบัญชี 2561-2562 ระบุประเภทธุรกิจว่า “กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก” ต่อมาในปีบัญชี 2563-2564 ระบุประเภทธุรกิจว่า “สื่อโทรทัศน์” โดยในส่วนสินค้า/บริการ ระบุว่า “ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากติดคดีความ”
การเปลี่ยนแปลงข้อความในแบบนำส่งงบการเงินครั้งหลังสุดของไอทีวี ขัดแย้ง กับการตอบของนายคิมห์ ในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ต่อข้อซักถามอีกข้อหนึ่งที่ว่า หากมีคดีความต่างๆ จบสิ้นเรียบร้อย จบสิ้นเรียบร้อย บริษัทจะมีปันผลไหม บริษัทจะมีแผนการดำเนินงานธุรกิจต่อไป หรือจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกหรือเปล่า
นอกจากนี้ บริษัทจะมีแผนชำระบัญชี หรือกิจการคืนเงินแก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่ ที่บอกว่าขัดแย้งกันระหว่างเอกสารงบการเงิน กับการประชุมผู้ถือหุ้น นายคิมห์ ตอบว่า
ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมาก ที่เราจะดำเนินการใดๆ กับไอทีวี ณ ขณะนี้ อย่างในอดีตที่ผ่านมา เราก็ได้มีการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินมาดูออปชั่นต่างๆ ทางเลือกต่างๆ ก็ยังไม่มีทางเลือกใดๆ ที่เหมาะสม
ดังนั้นทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องรอผลของคดี ถ้าผลคดีสิ้นสุดลงแล้ว ทางบริษัทก็จะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับทางผู้ถือหุ้นต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิจารณา จะจ่ายเงินปันผลอย่างไร จะดำเนินธุรกิจต่อไปหรือไม่อย่างไร หรือจะชำระบัญชี อะไร อย่างไร ทางเราจะพิจารณาทางเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป
นายชัยธวัช ระบุว่าคำตอบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ณ วันที่ 26 เม.ย.นี้ นายคิมห์ ในฐานะประธานที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นและประธานกรรมการบริษัท มิได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่าไอทีวี ประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ และมีรายได้จากสื่อโฆษณาแต่อย่างใด
แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่าแบบนำส่งงบการเงินที่ไอทีวีนำส่ง งบการเงินรอบปีบัญชี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2565 และไปนำส่งในวันที่ 10 พ.ค.2566 หลังการประชุมผู้ถือหุ้นไม่กี่วันจะระบุว่ารายได้ของไอทีวี ในรอบปี 2565 มาจากสื่อโทรทัศน์ โดยมีสินค้า บริการ คือสื่อโฆษณา มิพักต้องพูดกล่าวถึงกรณีที่ นายคิมห์ ได้ตอบผู้ถือหุ้นถึงแนวโน้มที่จะมีการชำระบัญชี ปิดบริษัทหลังจากทราบผลของคดีด้วยซ้ำ
ข้อพิรุธนี้ยังทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรายงานงบแสดงฐานะการเงินไตรมาส 1/2566 ของไอทีวี ซึ่งดูได้ในเว็บไซต์ของบริษัท เพราะในหมายเหตุประกอบงบการเงินงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2566 หน้าสุดท้ายมีการระบุว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 บริษัทมีการนำเสนอการลงสื่อให้กับกิจการที่เกี่ยวข้องกัน และเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา จากการที่บริษัทได้มีการให้บริการแก่บริษัทในกลุ่มข้างต้น บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ของปี 2566”
พบทำเป็นขบวนการใหญ่กว่าอดีตผู้สมัครส.ส.
จากนัั้นภายหลังจากการแถลงข่าว นายชัยธวัช ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนระบุว่า
เอกสารที่มีจะหักล้างประเด็นการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา ได้หรือไม่ว่า คิดว่ามีส่วนสำคัญที่จะทำให้สังคมได้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความพยายามที่จะปกป้องเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองไปมีส่วนร่วมในการครอบงำสื่อมวลชน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
แต่เป็นขบวนการที่พยายามหาเงื่อนไขมาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชน จึงมองว่านี่เป็นนัยยะสำคัญ
เมื่อถามว่า หลักฐานที่มีตอนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะไปหักล้างว่า นายพิธา ได้ถือหุ้นจริงหรือไม่ นายชัยธวัช ตอบว่า ที่ได้อธิบายในการแถลงข่าวได้ จะมีเนื้อหาบางส่วนที่มีนัยยะสำคัญที่จะพิสูจน์ว่าไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อหรือไม่ และหลักฐานเหล่านี้จะนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับขบวนการปลุกผีไอทีวีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายราย
เมื่อถามว่าหลักฐานนี้ พรรคมีอยู่แล้วหรือเป็นหลักฐานใหม่ นายชัยธวัช ระบุว่า หลักฐานดังกล่าวได้เห็นพร้อมกับ พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่ามีการตัดต่อคลิปหรือไม่นั้น ผู้สื่อข่าวที่ออกมาเปิดเรื่องดังกล่าว ยืนยันแล้วว่าไม่มีการตัดต่อ แต่ทางที่ดีที่สุดคือ บริษัท อินทัช ควรจะเร่งเปิดคลิปเต็มออกมา เพื่อให้สังคมหายสงสัยเร็วที่สุด ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะชะลอการเปิดคลิปนี้ แม้แต่วินาทีเดียว
ส่วนจะดำเนินคดีกับใคร เมื่อไรนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายและความชัดเจนของพยานหลักฐานอีกครั้ง
เมื่อถามว่าการดำเนินคดีจะรวมถึงผู้ที่ไปร้องเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มีฐานความผิดอยู่ หากใครมีเจตนาที่จะกระทำการกลั่นแกล้งให้ผู้ที่ลงสมัคร ส.ส.ขาดคุณสมบัติ ส่วนนี้ก็จะถือว่ามีความผิด ซึ่งหากมีความชัดเจนเรื่องนี้พรรคก็จะดำเนินการอย่างแน่นอน
ส่วนมีความพยายามที่จะทำให้นายพิธา ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนการโหวตนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น หากมีการดำเนินการเช่นนั้นจริง จะต่อสู้อย่างเต็มที่ ตามข้อกฎหมาย เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และเชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครกล้ารวบรัดกระบวนการ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง
เมื่อถามว่า พอจะทราบหรือไม่ใครอยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้ นายชัยธวัช ตอบว่า ตอนนี้เร็วไปที่จะกล่าวหาคนใดคนหนึ่ง แต่ประชาชนคาดการณ์ได้จากพฤติการณ์ต่างๆ ว่ามีใครบ้างเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่า พอที่จะเห็นบ้างแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง
เมื่อถามอีกว่า ขบวนการดังกล่าวมีประมากี่คน นายชัยธวัช ตอบว่า เป็นเพียงข้อสงสัย จึงยังไม่ทราบจำนวนคน
เมื่อนักข่าวถามว่า ใช่อดีตผู้สมัครอนาคตใหม่ ที่ออกมาเปิดข้อมูลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า “นั่นตัวเล็กไป มีใหญ่กว่านั้น”
ส่วนที่บอกว่าตัวเล็กไป ขบวนการนี้ไม่ได้อยู่ฝั่งฝ่ายประชาธิปไตยใช่หรือไม่ นายชัยธวัช ตอบว่า อย่าพึ่งรีบสรุป รอดูการตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากนี้อาจจะมีข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่มาจากไอทีวี และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ถ้าเรื่องนี้ตรงไปตรงมาจริงๆไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการชี้แจง และเปิดเผยเอกสาร และคลิปฉบับเต็ม ออกมาจากทางฝั่งไอทีวี
เมื่อถามว่า กรณีที่นายเรืองไกร บอกว่าคลิปเสียงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงว่าไอทีวีประกอบกิจการสื่อ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังมีเอกสารอีกหลายชิ้นที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องข้อสงสัยการสร้างเอกสารเท็จ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
“คิมห์ สิริทวีชัย” ผู้ลงนามบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้น ITV
นักวิชาการเปิดชื่อ 5 กรรมการ ITV ตั้งข้อสังเกต ITV ไม่มีคนทำงานนานแล้ว