‘ปิยบุตร’ อภิปรายนอกสภาฯ โต้ ‘ส.ส.-ส.ว.’ อภิปรายยก ม.112 อ้างเหตุไม่โหวต ‘พิธา’ นายกฯ ขอให้รักษาสถาบันฯ ให้เป็นกลางทางการเมือง
วันที่ 14 ก.ค. ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อภิปรายนอกรัฐสภาผ่านทางเฟซบุ๊กไลฟ์ เพื่อตอบโต้ ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย วิทยา แก้วภราดัย ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ สมชาย แสวงการ ส.ว. กรณียกการเสนอแก้ไขมาตรา 112 มาเป็นเหตุในการโหวตไม่เห็นชอบ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ปิยบุตร ชี้ว่า การโหวตบุคคลที่สมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นคนละเรื่องกับการแก้ไขมาตรา 112 และที่สำคัญเรื่องดังกล่าวไม่ได้บรรจุอยู่ในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือ MOU ของ 8 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล โดย ส.ส.ทั้ง 151 คน ของพรรคก้าวไกล จะเป็นผู้เสนอร่างแก้ไขดังกล่าวเอง
ปิยบุตร ยังตอบโต้ คำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. ที่อภิปรายยกมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการห้ามมิให้ละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการแก้ไขมาตรา 112 โดยชี้ว่าเป็นการชักแม่น้ำทั้ง 5
โดย ปิยบุตร อธิบายว่า องค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ไม่ได้หมายถึงเป็นเนื้อเดียวกับรัฐ หัวใจหลักของมาตรา 6 เพื่อให้พระมหากษัตริย์มีความเป็นกลางทางการเมือง ไม่มีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยแท้ แต่ให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ พระมหากษัตริย์จึงไม่ถูกดำเนินคดีหรือฟ้องร้อง
ขณะที่ประเด็นเรื่องการลงสัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม หรือ ICC นั้น ปิยบุตร กล่าวว่า หลังมีศาลอาญาระหว่างประเทศมา 21 ปี ยังไม่มีพระมหากษัตริย์ของประเทศสมาชิกถูกฟ้องร้อง
“ไม่เกี่ยวข้องกับประมุขของแต่ละรัฐ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่ได้ใช้อำนาจในทางบริหารแต่เพียงผู้เดียวแต่คนที่ใช้อำนาจคือนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีทางที่พระมหากษัตริย์จะถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ”
ปิยบุตร ยังกล่าวว่า หากสมาชิกรัฐสภาไม่ชอบ พิธา หรือไม่ชอบพรรคก้าวไกล ขออย่าใช้ประเด็นสถาบันฯ หรือการแก้ไขมาตรา 112 มาอ้างเพื่อไม่โหวต พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้รักษาสถาบันฯ ให้มีความเป็นกลางทางการเมือง และให้การเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ส่วนหากไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 ก็สามารถลงมติไม่เห็นชอบในขั้นพิจารณาของรัฐสภา