เพียงชั่วเวลา 1 สัปดาห์หลังจากเผด็จการทหารเมียนมาอนุญาตให้ ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของไทย เข้าพบกับ อองซานซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) และมุขมนตรีแห่งรัฐ เผด็จการทหารเมียนมาได้เริ่มนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาสร้างโฆษณาชวนเชื่อ เพื่ออ้างว่าอองซานซูจีที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ มีความคิดต่อต้านกองกำลังต่อต้านด้วยอาวุธจากการปกครองของกองทัพเมียนมา
จากคำกล่าวอ้างของชาวเมืองมัณฑะเลย์ มีผู้พบเห็นทหารและตำรวจเมียนมาแจกจ่ายใบปลิวในตัวเมือง ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (17 ก.ค.) โดยเนื้อหาในใบปลิวอ้างว่า อองซานซูจีกล่าวกับดอนว่าเธอไม่สนับสนุนรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาของพลเรือน ที่จัดตั้งขึ้นหลังจากเธอถูกรัฐประหารและจับกุมตัวในเดือน ก.พ. 2564
อย่างไรก็ดี ดอนยืนยันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (18 ก.ค.) ว่า การเข้าพบอองซานซูจีของเขาเกิดขึ้นจริง แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงท่าทีของซูจีต่อ NUG หรือกองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธต่อต้านเผด็จการทหารเมียนมา โดยดอนระบุเพียงว่า อองซานซูจีอยู่ในสภาพที่สบายดีในเรือนจำกรุงเนปิดอว์ โดยเขาไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดการพูดคุยใดๆ ในครั้งนั้นเพิ่มเติม
ใบปลิวซึ่งมีรูปถ่ายของซูจีและดอน มีเนื้อหาอ้างถึงบทความจาก สำนักข่าว PanOrient News ซึ่งเป็นสื่อที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่น ที่นำเสนอข่าวการพบกันของดอนและอองซานซูจี อย่างไรก็ดี ผู้สังเกตการณ์แสดงความสงสัยถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่าง PanOrient News กับวิกฤตในเมียนมา โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า คัลดอน อาชารี ชายสัญชาติซีเรีย ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสำนักข่าวดังกล่าว เพิ่งมีบทบาทอย่างแข็งขันในการช่วยเหลือเผด็จการเมียนมา เพื่อการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของระบอบ
ในรายงานของ PanOrient News อ้างว่า อองซานซูจีกล่าวกับดอนว่า เธอ “ไม่รู้จักและไม่สนับสนุน” NUG หรือ PDF นอกจากนี้ รายงานยังอ้างว่าอองซานซูจีกล่าวว่า ทั้งสององค์กรต่อต้านเผด็จการทหาร “ถูกกล่าวหาโดยรัฐบาลเมียนมาในข้อหา ‘ก่อการร้ายและการสังหารผู้บริสุทธิ์’ และ ‘ได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตก'” นอกจากนี้ ใบปลิวที่อ้างรายงานข่าวของ PanOrient News ยังระบุในเนื้อหาว่า “ข่าวเกี่ยวกับดอว์ อองซานซูจีไม่สนับสนุน NUG/PDF ซึ่งปฏิบัติการการก่อการร้าย!”
ใบบลิวยังอ้างถึงเนื้อข่าวที่อ้างและเน้นย้ำ ถึงความเชื่อของอองซานซูจีในการต่อสู้ทางการเมืองที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยอ้างว่า NUG ได้ “ริเริ่มการต่อต้านด้วยอาวุธต่อกิจกรรมทางการเมืองของเธอ เนื่องจากขัดกับหลักการไม่ใช้ความรุนแรงของเธอ” นอกจากนี้ ในใบปลิวยังมีภาพบันทึกหน้าจอของโพสต์บนเฟซบุ๊ก ที่มีบัญชีผู้ใช้ดังกล่าวระบุว่า เขาละทิ้งแนวทางการต่อต้านด้วยอาวุธ หรือสูญเสียศรัทธาในตัวอองซานซูจี เพราะเธอไม่สนับสนุนแนวทางการต่อสู้ของพวกเขา
ในมัณฑะเลย์ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเมียนมา มีการแจกใบปลิวบริเวณสะพานอูเบ็ง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของเมือง ทั้งนี้ ผู้อยู่อาศัยในเมืองทาเบกึน ในเขตมัณฑะเลย์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองไปทางเหนือราว 150 กิโลเมตร ยังระบุว่าพวกเขาเห็นทหารกำลังแจกจ่ายใบปลิวในหลายหมู่บ้าน “เราพบพวกเขาขณะที่เรากำลังขี่รถไปตามถนน พวกเขาไม่พูดอะไรนอกจากสั่งเราหยุดและยื่นใบปลิวให้เรา เรารับไปเพราะเรากังวลว่าพวกเขาจะทำอะไรเราถ้าเราไม่ยอมรับใบปลิว” ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว
ผู้อยู่อาศัยอีกรายมองว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นการกระทำที่สิ้นหวังของเผด็จการเมียนมา ซึ่งต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นับตั้งแต่เข้ายึดอำนาจเมื่อ 2 ปีครึ่งที่แล้ว “มันค่อนข้างต่ำมาก ไม่มีใครที่มีความคิดที่ถูกต้องจะเชื่อสิ่งนี้ ตอนนี้เราสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาสิ้นหวังและน่าขยะแขยงเพียงใด” ชาวบ้านรายดังกล่าวระบุ
สมาชิกคนหนึ่งของ PDF ในพื้นที่เมืองตะเบะจี้นกล่าวว่า ยุทธวิธีปล่อยข่าวปลอมดังกล่าวของเผด็จการเมียนมา ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการสนับสนุนกองกำลังต่อต้านมากนัก “ทหารกำลังทำสิ่งที่พวกเขารู้และสิ่งที่พวกเขาทำได้ เรากำลังทำสิ่งที่เราต้องทำเพื่อการต่อต้าน พวกเราที่อยู่บนพื้นดินไม่ยุ่งเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อประเภทนี้มากนัก” สมาชิกของ PDF รายดังกล่าวระบุ
เนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อที่คล้ายกันดังกล่าว ยังได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ผ่านช่องทางเทเลแกรม และบนเพจเฟซบุ๊กที่สนับสนุนเผด็จการทหาร นับตั้งแต่การเข้าพบอองซานซูจีของดอน ซึ่งเป็นการหารือที่ถูกประชาคมโลกประณามอย่างรุนแรง เผด็จการเมียนมายังได้เผยแพร่วิดีโอสัมภาษณ์คนหนุ่มสาว 8 คนที่อ้างว่าเป็นอดีตสมาชิก PDF ที่แปรพักตร์ต่อระบอบการปกครอง หลังจากได้ยินเกี่ยวกับท่าทีที่ถูกกล่าวหาของอองซานซูจีด้วย
การใช้ใบปลิวแพร่ข่าวปลอมโฆษณาชวนเชื่อโดยเผด็จการเมียนมาไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยในช่วงปลายปี 2564 และต้นปี 2565 ขณะที่เผด็จการเมียนมาพยายามสกัดกั้นการเคลื่อนไหวต่อต้านด้วยอาวุธ ที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ตอนบนและตอนกลางของประเทศ โดยกองทัพเผด็จการเมียนมาได้ใช้ใช้เฮลิคอปเตอร์ทิ้งใบปลิว ที่มีเนื้อหาคุกคามโดยตรงและอ้อมๆ ต่อประชาชน เพื่อกีดกันการสนับสนุนหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านเผด็จการทหาร
ที่มา: