หน้าแรก Thai PBS “ชูวิทย์” ยื่นสรรพากรสอบปมซื้อที่ดินเลี่ยงภาษี 521 ล้าน โยง “เศรษฐา”

“ชูวิทย์” ยื่นสรรพากรสอบปมซื้อที่ดินเลี่ยงภาษี 521 ล้าน โยง “เศรษฐา”

93
0
“ชูวิทย์”-ยื่นสรรพากรสอบปมซื้อที่ดินเลี่ยงภาษี-521-ล้าน-โยง-“เศรษฐา”

วันนี้ (4 ส.ค.2566) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสรรพากร ขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากรกรณีการซื้อขายที่ดินระหว่าง บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ผู้ซื้อ และนางประไพ ชินพิลาศ กับพวก ผู้ขาย พร้อมแนบเอกสารหลักฐาน เช่น สําเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 16515 ขนาด 0-3-99.7 ไร่ ถ.สารสิน, สําเนาคัดย่อรายงานการประชุมอนุมัติการซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 16515 จํานวน 12 ฉบับ ลงลายมือชื่อรับรองโดยนายเศรษฐา ทวีสิน และเอกสารหลักฐานการโอนที่ดิน การซื้อขายอีกหลายรายการ

นายชูวิทย์ ระบุคำกล่าวอ้างไว้ในหนังสือ ด้วยว่า ได้พบหลักฐานการชําระภาษีที่ดินที่ผิดปกติในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างบริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ผู้ซื้อและนางประไพ ชินพิลาศ กับพวก ผู้ขาย ณ สํานักงานที่ดินเขตพระนคร รายละเอียดดังนี้

ชูวิทย์ ยื่นหนังสือต่อกรมศิลปากร

ชูวิทย์ ยื่นหนังสือต่อกรมศิลปากร

เปิดรายละเอียดซื้อขายที่ดิน พบพิรุธโอน 12 วันติด

เมื่อปี 2562 บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ได้ทําการซื้อที่ดินบนถนนสารสิน โฉนดเลขที่ 16515 ขนาดพื้นที่ 0-3-99.7 ไร่ จากบุคคลจํานวน 12 ราย (ปรากฎตามสิ่งที่ส่งมาด้วยลําดับ ที่ 1) ซึ่งถือครองที่ดินแปลงดังกล่าวในลักษณะกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1356 แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,570,821,000 บาท (ปรากฎตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ลําดับที่ 2, 3 และ 4)

กลุ่มผู้ขายได้รับที่ดินมาจากการจดทะเบียนเลิกบริษัท ประไพทรัพย์ จํากัด เมื่อเดือน พ.ย.2561 และแบ่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทตามสัดส่วนหุ้นของ ผู้ถือหุ้นแต่ละรายโดยมิได้มีการจดทะเบียนบรรยายถึงว่า ของใครอยู่ส่วนไหนเป็นจํานวนเนื้อที่เท่าใดชัดแจ้ง และที่ดินผืนดังกล่าวยังติดภาระเช่า กรณีถือได้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และรับผลประโยชน์ร่วมกัน ย่อมต้องทําธุรกรรมซื้อขายที่ดินเป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้น ส่วนสามัญไม่จดทะเบียนตามแนววินิจฉัยกรมสรรพากร อ้างอิงถึงหนังสือตอบข้อหารือ เลขที่ กค 0811/02985 ลงวันที่ 31 มี.ค.2542 ซึ่งกลุ่มผู้ขายทั้ง 12 ราย จะมีภาระต้องชําระ ภาษีและที่ค่าธรรมเนียมที่สํานักงานที่ดิน รวมทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) จากส่วนแบ่งกําไรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 เป็นจํานวนเงินรวมทั้งสิ้น 580,378,106.05 บาท

แต่กลุ่มผู้ขายได้ร่วมมือกับ บริษัท แสนสิริฯ ทํานิติกรรมอําพรางเพื่อหลบเลี่ยงภาษีที่พึงชําระอย่างเป็น กระบวนการ ดังนี้

เมื่อวันพุธที่ 14 ส.ค.2562 บริษัท แสนสิริฯ จัดการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 9/2562 บรรจุวาระการประชุมข้อ 10.5 เพื่อพิจารณาอนุมัติการซื้อที่ดิน (ระหว่างเช่า) บริเวณถนนสารสิน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อนํามาพัฒนาเป็นโครงการอาคารชุดอยู่อาศัย โดยที่ประชุมนําโดยนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานในที่ประชุม, นายวันจักร์ บุรณศิริ กรรมการและประธานผู้บริหารสายงาน การเงินและสนับสนุนธุรกิจ และนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมกรรมการรายอื่น มีการลงมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการซื้อที่ดินดังกล่าว โดยแบ่งการซื้อและการโอนจากผู้ครอบครองที่ดินทั้ง 12 ราย เป็นรายคนตามสัดส่วนหุ้น ปรากฎตามเอกสารหมายเลข 7 ของสําเนาคัดย่อเฉพาะวาระรายงานการประชุม คณะกรรมการ บริษัท แสนสิริฯ ทั้ง 12 ฉบับ ลงลายมือชื่อรับรองโดย นายเศรษฐา นายอภิชาติ และนายวันจักร์ (ปรากฎตามสิ่งที่ส่งมาด้วยลําดับที่ 2)

ชูวิทย์แจงยิบข้อมูลอ้างนิติกรรมอำพรางซื้อขายที่ดิน

ชูวิทย์แจงยิบข้อมูลอ้างนิติกรรมอำพรางซื้อขายที่ดิน

“ชูวิทย์” ชี้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษี 521 ล้าน

หลังจากคณะกรรมการ บริษัท แสนสิริฯ มีมติอนุมัติการซื้อที่ดินดังกล่าว และจัดเตรียมสําเนาคัดย่อเฉพาะวาระฯ แยกตามผู้ขายทั้ง 12 ราย เป็นรายคนแล้ว บริษัท แสนสิริฯ ได้ทําการนัดหมายผู้ขายแต่ละรายเพื่อชําระเงินและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดัวกล่าวที่ สํานักงานที่ดินเขตพระนคร โดยใช้วิธีการนัดหมายวันละ 1 ราย ติดต่อกัน 12 วัน แบ่งเป็นวันพฤหัสบดีที่ 22 – วันศุกร์ที่ 23 ส.ค.2562, วันจันทร์ที่ 26 – วันศุกร์ที่ 30 ส.ค.2562 และวันจันทร์ที่ 2 – วันศุกร์ที่ 6 ก.ย.2562 (ปรากฎตามสิ่งที่ ส่งมาด้วยลําดับที่ 3 และ 4)

การกระทําดังกล่าวเป็นการทํานิติกรรมอําพรางเพื่อให้เข้าใจว่าผู้ขายทั้ง 12 ราย ต่างคนต่างขายที่ดินให้กับบริษัท แสนสิริฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการขายที่ดินเป็นคณะบุคคลในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1356 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทําให้ผู้ขายทั้ง 12 ราย ต่างคนต่างชําระภาษีและค่าธรรมเนียมเฉพาะที่สํานักงานที่ดินฯ เป็นเงินรวมกันเพียง 59,247,317 บาท ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการขายที่ดินดังกล่าวเข้าลักษณะการขายในรูปแบบคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ซึ่งผู้ขายทั้ง 12 ราย จะมีภาระค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีจากการแบ่งกําไรตามอัตราก้าวหน้าสูงสุดร้อยละ 35

แต่บริษัท แสนสิริฯ โดยนายเศรษฐา กับพวก กลับร่วมกันกับกลุ่มผู้ขายในการหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีที่พึงชําระเป็นเงินทั้งสิ้น 521,130,789.05 บาท

หลังจากบริษัทแสนสิริฯ และผู้ขายกระทํานิติกรรมอําพรางตามข้อ2 แล้ว วันจันทร์ที่ 24 ก.ย.2562 บริษัท แสนสิริฯ ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2562 ลงมติอนุมัตินําที่ดินแปลงดังกล่าวจํานองทั้งแปลงแก่ผู้รับจํานอง คือ บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) เพื่อเป็นประกันหนี้สินของ บริษัท แสนสิริฯ อันจะพึงมีต่อบริษัท ธนาคารกสิกรไทยฯ เป็นจํานวนเงิน 1,103,000,000.00 บาท (ปรากฎตามสิ่งที่ส่งมาด้วยลําดับที่ 5) อันเป็นการผิดวิสัยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปที่โดยปกติจะชําระเงินมัดจําแก่ผู้ขายเพื่อนําโฉนดที่ดินทั้งแปลงเข้าจดจํานองเป็นหลักประกันเงินกู้กับสถาบันการเงิน และนําเงินกู้จํานวนดังกล่าวมาชําระเป็นค่าที่ดินบางส่วน

แต่เนื่องจากพฤติการณ์ร่วมกันทํานิติกรรมอําพรางระหว่างบริษัท แสนสิริฯ และผู้ขาย ที่กระทําการหลบเลี่ยงภาษีโดยการแบ่งชําระและโอนดที่ดินแบบแบ่งเป็น รายบุคคลแยกกันไปในแต่ละวัน จะทําให้สถาบันการเงินทั่วไปไม่สามารถออกแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายแยกเป็นรายคนได้เนื่องจากเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน จึงทําให้ บริษัท แสนสิริฯ จําเป็นต้องสั่งจ่ายเช็ค และเงินสดบางส่วนให้แก่ผู้ขายไปก่อน อันแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของบริษัท แสนสิริฯ ที่ร่วมกันกับผู้ซื้อในการหลบเลี่ยงค่า ภาษีอากรอันพึงชําระ

“ชูวิทย์” ชี้นิติกรรมอำพราง ผิดหลักธรรมาภิบาลบริษัทมหาชน

ทั้งนี้ เป็นการกระทำผิดหลักธรรมาภิบาลของบริษัทมหาชน และเป็นความผิดตาม มาตรา 37 (2) แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 อีกทั้งยังร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่สํานักงานที่ดินในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

นายชูวิทย์ จึงขอให้อธิบดีกรมสรรพากร ดําเนินการตรวจสอบการชําระภาษอีากรของที่ดินแปลงดังกล่าวว่า กระทําโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทํานองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือไม่

แสนสิริออกแถลงการณ์ชี้แจง

แสนสิริออกแถลงการณ์ชี้แจง

ขณะที่บริษัท แสนสิริ ออกเอกสารชี้แจงว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้พิจารณาและมีการอนุมัติซื้อที่ดินดังกล่าวทั้งแปลง โดยมีการแยกราคาตามส่วนกรรมสิทธิ์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตามที่ผู้ขายแจ้งความประสงค์ซึ่งกรณีนี้เป็นการลงมติอนุมัติเป็นมติที่ประชุมเพียงมิติเดียว”

ส่วนการนำสำเนารายงานการประชุมไปใช้ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์นั้นด้วยแนวปฏิบัติตามปกติบริษัทจัดพิมพ์เป็นรายงานการประชุมฉบับคัดย่อ โดยคัดข้อความเฉพาะวาระที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ประกอบการจดทะเบียนโอนในครั้งนั้น

แนะ “เศรษฐา” ถอยแคนดิเดตนายกฯ

นายชูวิทย์ เปิดเผยหลังยื่นหนังสือว่า ที่ออกมาพูดตอนนี้ เพราะนายเศรษฐากำลังจะได้รับเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงอยากถามประชาชนว่าอยากได้นายกรัฐมนตรีแบบไหน แบบเลี่ยงภาษีหรือไม่ แม้นายเศรษฐาจะอ้างว่า มีหน้าที่เซ็นอนุมัติอย่างเดียว ไม่มีส่วนรู้เห็นในรายละเอียดการโอน ก็อยากถามว่าหากได้เป็นนายก ในอนาคต และต้องเซ็นอนุมัติโครงการบางอย่างไป สามารถที่จะไม่รับผิดชอบผลที่จะตามมาได้หรือไม่ พร้อมแนะนำให้ไปถาม นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เซ็นอนุมัติโครงการรับจำนำข้าว

นายชูวิทย์ ยังแนะนำให้นายเศรษฐาถอยจากการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีคุณสมบัติและไม่เหมาะสม ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังเหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อีก 2 คน คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติสิริ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่