เศรษฐา แข็งกร้าว ถ้า ‘พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ’ จะมาร่วมรัฐบาลในอนาคต ต้องแก้รัฐธรรมนูญ 60 ไปด้วยกัน ไม่แคร์ชูวิทย์แฉซ้ำ เป็นหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ขอทำงานเพื่อปากท้องประชาชน เชื่อ มีคำตอบเรื่องหน้าตารัฐบาล
วันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่สนามฟุตบอลบุณยะจินดา เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่้อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลนัดเปิดฤดูกาลไทยลีค 2023/24 ระหว่างทีมโปลิศ เทโรฯ พบกับ ทีมบีจีปทุม ยูไนเต็ด กับสโมสรฟุตบอล โปลิศ เทโร เอฟซี ถึงกรณีที่กรรมธิการของ ส.ว. ได้รับเรื่องร้องเรียนตรวจสอบคุณสมบัติของเขา ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย ที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ เราเป็นนักการเมืองแล้ว ก็ต้องยอมรับในการตรวจสอบถ้ามีเหตุมีผล ก็พร้อมที่จะปรับปรุงตนเอง ส่วนมีความกังวลหรือไม่นั้น การเป็นนักการเมืองต้องตรวจสอบได้ ทั้งนี้ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของตน เพราะตลอดระยะเวลาการเป็นผู้บริหารของแสนสิริ เราทำงานด้วยความบริสุทธ์ และถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถ้าหากผลออกมาแบบนี้ คณะกรรมาธิการก็จะให้ความเป็นธรรมกับตน
ส่วนที่มอบอำนาจให้ทนายความฟ้อง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หลังออกมาแฉนั้น เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายไป ส่วนตนเองตอนนี้มุ่งทำงานด้านการเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเดินหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนเสียงการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ทั้ง สส. และ สว. ในขณะนี้ เชื่อว่าจะได้รับความไว้วางใจ ตอนนี้ไม่เป็นห่วงอะไร ส่วนจะไปแสดงวิสัยทัศน์ที่สภาฯ หรือไม่ ตนไม่ใช่ สส. แต่หากได้รับเลือกเข้าไปก็พร้อมที่จะทำงาน
ส่วนความมั่นใจว่าเสียง สว.จะโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เศรษฐา เผยว่า ทางพรรคกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ ทีมเจรจาของพรรคเพื่อไทยก็ทำหน้าที่ีอย่างดีที่สุด หวังว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้ง สว. และ สส. ส่วนจะมีการเดินสายขอเสียงสนับสนุนจาก สว. ด้วยตนเองหรือไม่ เศรษฐา เผยว่า ได้พูดคุยกับคณะเจรจาแล้ว มีหวัง และจะได้รับเสียงตอบรับที่ดี
ส่วนกรณีที่ชูวิทย์จะแฉต่อตอนที่ 2 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดอ่านคำวินิจฉัย ในวันที่ 16 ส.ค. นี้ ซึ่งทางเศรษฐา และ แสนสิริ จะฟ้องเพิ่มหรือไม่ เศรษฐา เผยว่า การฟ้องร้องได้ทำไปแล้ว แต่ต้องดูข้อมูลต่อไป ยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ ส่วนกรณีทีมกฎหมายเศรษฐา ได้เปิดภานที่ชูวิทย์ไปพบเมื่อช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว เพื่อไปเจรจาให้ซื้อที่ดินนั้น เศรษฐาบอกว่า เรื่องมันนานมาแล้ว ได้คุยกันหมดแล้ว และให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ไปหมดแล้ว อยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ยอมรับว่าเป็นนักการเมืองต้องถูกตรวจสอบ ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว ไม่อยากให้มีการบั่นทอนจิตใจในการทำงาน และเมื่อถามว่า หายไปไหนมากว่า 10 วัน เศรษฐา บอกว่า ไม่ได้หาย ไม่ได้ซุ่ม ทำงานอย่างเปิดเผยกับคณะทำงานพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะโหวตผ่านหรือไม่ก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เรื่องปากท้องสำคัญมาก ซึ่งช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่เราต้องทำงานไปก่อน และหากได้เป็นรัฐบาลจริง การทำงานก็จะล้ำหน้าไปบ้าง
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ ว่าโหวตนายกรัฐมนตรีรอบเดียวแล้วจะผ่าน เศรษฐา ตอบว่า ก็มีความมั่นใจ ว่าสิ่งที่เราทำมา ในการเมืองที่ไม่ปกติ เราต้องให้ปกติ “ผมเชื่อว่าเราอยู่ในความเป็นจริง เราถูกรับไม้ต่อให้จัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องรวบรวมเสียงในการตั้งรัฐบาลเพื่อจะเข้าไปสู่อำนาจรัฐและแก้ปัญหาบ้านเมือง เพื่อนำประเทศชาติเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบัน แก้รัฐธรรมนูญ แล้วแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทุกคน และแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกต่างทางความคิด ซึ่งเรามีความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหานี้”
หากได้เป็นนายกรัฐมนตรี และจะต้องจัดสรรตำแหน่งนายกฯ ด้วยตัวเองหรือไม่ เศรษฐา ตอบว่า ตามข้อเท็จจริงต้องให้เกียรติพรรคร่วม ซึ่งหากตนได้เป็นนายกฯ ก็จะต้องหารือกันก่อน
ส่วนเสียงสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ มีวัตถุประสงค์สนับสนุนนเศรษฐา เป็นนายกฯ จะมีแนวทางทำงานร่วมกันอย่างไร เศรษฐา ตอบว่า อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น ตอนนี้จับมือหลายพรรคการเมือง นับได้ว่าเป็นแนวทางที่ดีแล้ว ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี ตนขอบคุณ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐที่จะโหวตให้ ส่วนเมื่อผ่านการโหวตแล้ว ค่อยพูดคุยกันอีกครั้ง
เมื่อถามว่า จะสามารถทำงานพรรคพลังประชารัฐ และ พรรครวมไทยสร้างชาติได้หรือไม่ เศรษฐา ตอบว่า เอาเรื่องหลักการเป็นหลัก นโยบาย ประชาชน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เราจะต้องมาร่วมด้วยช่วยกัน ให้เกิดขึ้นมา
หากท้ายที่สุด พรรคเพื่อไทย จะต้องจับมือกับ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ เศรษฐา จะมีท่าทีอย่างไรนั้น เขาเปิดเผยว่า การเลือกตั้งได้ผ่านไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พค.ที่ผ่านมา เราต้องอยู่กับความเป็นจริง เพราะตอนนี้ประเทศไทยต้องการรัฐบาล พรรคเพื่อไทยต้องการแก้ปัญหาประชาชน และแก้รัฐธรรมนูญ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมาเป็นรัฐบาล ส่วสนนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะต้องนำมาพิจารณา ส่วนกรณีที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ร่วมกับพรรคสองลุง มันจะเป็นดิจิทัลฟรุ๊ทปรินท์มาทิ่มแทงตัวเองในอนาคตหรือไม่ เศรษฐา ตอบว่า มันจะต้องมีคำอธิบาย การกระทำและคำพูดย่อมต้่องมีคำอธิบายทุกอย่าง ซึ่งการร่วมงานกับพรรคสองลุง ก็จะต้องมีการพูดคุยอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนความคาดหวังของประชาชน อาจจะรู้สึกผิดหวัง ที่สูตรการตั้งรัฐบาลออกมาเป็นแบบนี้ เศรษฐา ชี้แจงว่า การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนเป้นเรื่องสำคัญ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ ทำให้ขณะนี้ผ่านมาสามเดือนยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ ดังนั้นการเข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ตัวเลขออกมาแล้ว ยุทธศาสตร์พื้นฐานออกมาแล้ว ตอนนี้ทราบถึงความลำบากและจำเป็นในการสลายขั้วเพื่อเดินหน้า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การร่วมรัฐบาลสลายขั้ว อาจจะมีพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นผู้ร่วมคลอด รธน.ฉบับนี้ออกมา และมันจะสามารถแก้ รธน. ฉบับนี้ได้จริงหรือไม่ เศรษฐา ตอบว่า “เป็นคำถามที่ดี เพราะถ้าเขาจะเข้ามาร่วมกับเรา เขาต้องเข้าใจนโยบายหลักของรัฐบาล โดยการนำของพรรคเพื่อไทย เราจะต้องแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้” และเมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่า จะแก้ได้จริงหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า “ผมยืนยัน ถูกต้องครับ ใช่ครับ”
เศรษฐา ยังเผยอีกว่า ได้มีการพบปะกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 2-3 ครั้งแล้ว ซึ่งก็คุยกันด้วยดี โดยส่วนตัวตนกับนายอนุทิน รู้จักกันมานาน มีเพื่อนหลายร้อยคนตามที่อนุทินให้สัมภาษณ์ แต่ไม่ได้พคุยเพื่อขอให้นายอนุทินสนับสนุนโหวตตน แต่หวังว่าจะได้ทำงานร่วมกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ในวิถีการเมืองที่สร้างสรรค์