‘ชูวิทย์’ เปรียบการเมืองยุคนี้เสมือน ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ธาตุแท้กล้าเอาอุดมการณ์เร่ขาย เพื่อแลกกับการกลับบ้านของคนเพียงคนเดียว ด้วยขบวนการนโยบาย ‘เทคนิคหลอกประชาชน’
วันที่ 12 ส.ค. ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ รัฐบาลมิจฉาชีพ โดยระบุว่า อันการเมืองยุคนี้ เสมือนหนึ่งเรื่องหลอกลวงของ “แก๊งคอลเซนเตอร์” ไม่ผิดเพี้ยน
แสร้งตีหน้าเศร้าเล่าต่อสาธารณชนว่า แสนเป็นห่วงบ้านเมืองวิกฤต เศรษฐกิจย่ำแย่ ปากท้องของพี่น้องต้องไปดูแล ต้องมีรัฐบาลอย่างเร่งด่วนไม่งั้นประเทศจะเสียหาย
แต่ธาตุแท้กล้าเอา “อุดมการณ์” เร่ขาย เพื่อแลกกับการกลับบ้านของคนเพียงคนเดียวด้วยขบวนการนโยบาย “เทคนิคหลอกประชาชน” ดั่ง “แก๊งคอลเซนเตอร์” ที่ใช้การหลอกพ่อแม่ว่าลูกถูกทำร้าย ให้โอนเงินมาให้
ที่จริงลูกไม่รู้เรื่อง แต่สร้างเรื่องขึ้นมานักการเมืองก็ใช้ “พรรคการเมือง” เป็นสถานที่ และโลโก้ เพื่อลวงให้ประชาชนหลงเชื่อจนไปลงคะแนนให้
แต่พอได้อำนาจ ที่เคยบอกว่า “ต่อต้านเผด็จการ” กลับไปเจือสมกับซากเผด็จการเสียเองจนสำเร็จความใคร่ แล้วดันให้ “นายกฯ นอมินี” ผ่านกระบวนการฟอกขาวจึงถือได้ว่าไม่ได้เป็น “รัฐบาลของประชาชน” แต่เป็น “รัฐบาลมิจฉาชีพ” โดยแท้
เพราะหลอกล่อ สร้างเรื่อง ปล้นคะแนนประชาชนมา แล้วยังเอาคะแนนประชาชนไปร่วมกันทำอุบายกับผู้ที่เคยยึดอำนาจ เสมือนหนึ่งการกระทำของมิจฉาชีพต้มตุ๋น พฤติการณ์จึงไม่ได้แตกต่างกัน กลับแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ
เพราะเป็นการกระทำที่เปิดเผยโล่งโจ้งต่อหน้าธารกำนัล แต่เรื่องราวกลับไม่ได้จบง่ายอย่างที่นักการเมืองมิจฉาชีพปรารถนา อันเนื่องมาจากการสะดุดขาตัวเองบนบันไดขั้นสุดท้ายก่อนขึ้นสู่อำนาจสูงสุด
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม จะเปิดเผยพฤติกรรมของบุคคลที่กำลังขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น เพราะฉ้อฉลปล้นเงินผู้ถือหุ้นอย่างชัดเจน จึงถือเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ที่ได้แฉเพื่อชาติ “กระชากหน้ากากคนโกง เปิดโปงคนชั่ว ไม่เกรงกลัวอิทธิพล”
ชูวิทย์ โพสต์ต่อว่า นี่ถ้าเพื่อไทยบอกประชาชนก่อนหาเสียงว่า “จะร่วมกับขั้วรัฐบาลเดิม” คิดว่าจะได้สักกี่เสียง? แต่ดันหลอกประชาชนว่าอยู่ฝั่ง “ประชาธิปไตย” พอได้คะแนนมาก็เอาไปต่อรองกับขั้วเศษซากเผด็จการ เวรกรรมของคนเลือกเพื่อไทยแท้ๆ