วันนี้ (18 ส.ค.2566) เวลาประมาณ 12.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก “เศรษฐา ทวีสิน – Srettha Thavisin” ชี้แจงกรณีการจัดซื้อที่ดินของบริษัท แสนสิริ และเรื่องนอมินี ว่า ในฐานะที่เคยเป็นผู้บริหารของบริษัท แสนสิริ ยืนยันว่าทีมงานทุกคนบริหารงานอย่างโปร่งใสในรูปแบบของคณะกรรมการ ตามข้อบังคับของบริษัทและตลาดหลักทรัพย์ ทำงานตามหลักธรรมาภิบาล ไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหา หรือแม้แต่ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการทำงานและการประกอบการของบริษัท
วันนี้จึงออกมาให้ข้อเท็จจริงและตอบคำถามของสังคม ยืนยันว่า ในขณะที่ตนยังเป็นผู้บริหาร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบการบริษัท ดำเนินการด้วยความถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน ไม่เคยมีวิธีการนอกระบบกฎหมาย เพื่อเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐ หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
ผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาในทุกกรณีที่คุณชูวิทย์นำมากล่าวอ้าง ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนให้เกิดความเสียหาย
นายเศรษฐา กล่าวว่า ทุกตอนที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้กล่าวถึงทั้งที่ดินแปลงสารสิน หรือที่ดินทองหล่อ เป็นเรื่องแบบเดียวกัน ซึ่งแสนสิริในฐานะผู้ซื้อ ทำธุรกรรมกับผู้ขายรายต่างๆ โดยชำระค่าที่ดินตามราคาตลาดที่สมเหตุสมผล สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ซื้อและผู้ขายต้องชำระหนี้ซึ่งกันและกัน และมีหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด
บริษัท แสนสิริ เป็นผู้ซื้อ ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการบริหารภายในของฝ่ายผู้ขายได้ในทุกขั้นตอน ฝั่งผู้ซื้อไม่มีนอมินี ไม่มีการปล่อยกู้ให้ผู้ขาย ความจริงเป็นการจดจำนองเพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญาและห้ามผิดสัญญาของบริษัทผู้ขาย และประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่ามีหลักฐานชัดเจน ไม่มีการทำสัญญากู้ ไม่มีการสมคบคิดใดๆ และไม่เคยมีเงินทอนกลับมาที่ตนหรือพนักงานแสนสิริ
ส่วนแปลนโครงการ KHUN by YOO มีมูลค่าที่ดิน 1,100,000 บาทต่อตารางวา ถือเป็นราคาที่ดีมาก ไม่มีเงินทอนให้ใคร จึงอยากให้นายชูวิทย์แยกแยะระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อให้ได้และอย่าบิดเบือน พร้อมย้ำว่าแสนสิริไม่มีนอมินีอย่างแน่นอน
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า นายชูวิทย์จะพูดเรื่องที่ดินอีกกี่แปลงก็ได้ แต่ต้องแยกผู้ขายกับผู้ซื้อให้ชัดเจน และต้องใช้ความจริงที่ไม่บิดเบือน แม้นายชูวิทย์โกรธเคืองที่บริษัท แสนสิริ ไม่ซื้อที่ดินในซอยสุขุมวิท 24 ของนายชูวิทย์ เมื่อเดือน ก.ย.2565 ที่ได้ตกลงกันจากราคา 2,000 ล้านบาท เหลือ 1,800 ล้านบาท แต่ที่ดินของนายชูวิทย์มีเงื่อนไขติดพันกับบริษัท ไดมอนด์แลนด์ ซึ่งแสนสิริไม่สามารถซื้อที่ดินที่มีนิติกรรมซ้อนได้ จึงเป็นเหตุให้นายชูวิทย์ไม่พอใจ
นายเศรษฐา ระบุอีกว่า ถูกข่มขู่หลังจากมีการเสนอชื่อของตนในสภาฯ เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการฝากข้อความผ่านคนใกล้ชิดมาสั่งให้ตนมัดจำเงินเพื่อซื้อที่ดินและทำ MOU แบบไม่มีเงื่อนไขในการซื้อขายที่ดินกับนายชูวิทย์ และมีการติดต่อผู้ใหญ่ให้มาบอกตนว่าจะแฉและทำทุกอย่างเพื่อให้ตนไม่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้ตกลงซื้อที่ดินราคา 2,000 ล้านบาททันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่เช่นนั้นจะเดินหน้า Discredit ต่อไป
นอกจากนี้ยังมีการบิดเบือนไปถึงเรื่อง Digital Wallet ทำให้ประชาชนเข้าใจว่านโยบายนี้เป็นการฟอกเงินผ่าน coin ดังนั้นขออย่าเอาเรื่องนโยบายของพรรคเพื่อไทยมาโจมตีอย่างไม่มีหลักการ เพราะเป็นนโยบายสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที
ทั้งนี้ เชื่อว่าการออกมาพูดในครั้งนี้อาจทำให้นายชูวิทยไม่พอใจและอาจไปฟ้องศาล ซึ่งตนก็พร้อมนำพยานหลักฐานไปสู้คดี
นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้ายว่า ชีวิตของตนตรวจสอบได้หมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง แม้ทุกคนจะเตือนว่าอย่าลงการเมือง เพราะเปลืองตัว แต่วันนี้ตนตัดสินใจเอง เพราะอยากทำให้ประเทศและเศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมย้ำว่า “ศัตรูของผม คือความยากจนและความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผม คือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ชูวิทย์” แฉ “แสนสิริ” ใช้นอมินีซื้อที่ดินโยง “เศรษฐา”
“ชูวิทย์” ฟ้อง “เศรษฐา-ทนายวิญญัติ” 3 ข้อหา เรียก 9 หมื่นบาท
“เศรษฐา” ส่งทนายฟ้อง “ชูวิทย์” หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 500 ล้าน