‘ชลน่าน’ อภิปรายสรุป ขอเสียงหนุน ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ คือจุดเริ่มต้นเปลี่ยนความเห็นต่าง เป็นความเห็นร่วม ‘เพื่อไทย’ ขออาสาสลายความขัดแย้ง เลิกหัวชนฝาทำประชาชนสูญเสีย หวังประนอมอำนาจพาประเทศเดินหน้าต่อ
วันที่ 22 ส.ค. ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) วาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังสมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางเพื่อแสดงความเห็นต่อคุณสมบัติของ เศรษฐา ทวีสิน ผู้ได้รับการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนแล้วเสร็จ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวอภิปรายสรุป และตอบข้อซักถามของสมาชิก
นพ.ชลน่าน ในฐานะผู้เสนอชื่อ เศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกที่ได้แสดงความคิดเห็น และซักถามต่อคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่เสนอชื่อ เป็นการทำหน้าที่แทนประชาชนในการแสวงหาข้อเท็จจริง ก่อนจะตัดสินใจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน
สำหรับข้อซักถามเรื่องคุณสมบัติของ เศรษฐา เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และพฤติกรรมระหว่างประกอบอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ในบริษัทมหาชนว่าเป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในนามของพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบคุณสมบัติต้องห้ามอย่างถี่ถ้วน ข้อกล่าวหา ไม่ว่าเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษี การตั้งนอมีนีมารองรับการซื้อที่ดิน ต้องขอบคุณผู้นำเรื่องนี้มาเปิดเผย เป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชน ต่อพรรคเพื่อไทย และต่อแคนดิเดตนายกฯ เอง
“ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือหลักฐานบ่งชี้ได้ว่า เศรษฐา มีความไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีเพียงข้อกล่าวหาที่โน้มเอียง ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้”
ขณะที่ข้อกังวลเรื่องพฤติกรรม อุดมการณ์ หรือจุดยืนทางการเมืองนั้น นพ.ชลน่าน ระบุว่า พรรคเพื่อไทยรับฟังทุกเสียง และยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเฉพาะระบบรัฐสภา สส. ทุกคนต่างมาจากการเลือกตั้งเป็นตัวแทนของประชาชน ที่ผ่านมาแน่นอนว่ามีการแบ่งแยกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทั้งฝ่ายเสรีประชาธิปไตย และฝ่ายอนุรักษนิยม ตลอด 2 ทศวรรษ ที่ผ่านมา
“พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ต่างมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างเจ็บปวด คนที่เจ็บปวดที่สุดคือประชาชนคนไทย เราขัดแย้งกันแล้วได้อะไรขึ้นมา นี่คือจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย เราเห็นความย่อยยับสูญเสียโอกาสของประชาชน เพราะเพียงแต่มีความคิดต่างกัน และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่แยกกันเดิน เราจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดต่อไปหรือ” นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และไม่มีทางจัดตั้งรัฐบาลแข่ง เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เราคิดผิด เพราะยิ่งเราจับมือกัน ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
“ไทยรักไทย พลังประชาชน เราหัวชนฝามา เราเจ็บ เราเกิดก่อน เรามีประสบการณ์ แล้วเราจะเอาหัวชนฝาให้ประเทศชาติและประชาชนสูญเสียไป เราไม่ทำแล้ว สิ่งที่ดีที่สุด คือจับเอาดุลอำนาจที่มีอยู่ในประเทศนี้ มาประนีประนอมอำนาจ ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด น่าจะดีสุดในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เราต้องปกป้องคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ ทุกคนพูดเหมือนกัน แต่วิธีการทำไม่เหมือนกัน”
“เพื่อไทยอาสาเข้ามาสลายความขัดแย้ง จัดตั้งรัฐบาลในนามของทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของรัฐบาลที่มาจากพี่น้องประชาชน”
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงความห่วงใยเรื่องนโยบายจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งต่อไปหากทุกพรรคการเมืองจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภา ยังสามารถปรับแปลงแก้ไขได้ ขณะที่วิกฤตรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าผู้เขียนรัฐธรรมนูญต้องการปกป้องคุ้มครองสิ่งที่เห็นว่าสำคัญ แต่เมื่อถึงเวลาสิ่งหนึ่งย่อมถูกสลายออกไป เป็นดุลอำนาจที่ดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงจำเป็นและสำคัญ ในเงื่อนไขที่จะไม่เกิดความขัดแย้ง
โดยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังต้องผ่านการทำประชามติ ซึ่งต้องใช้เวลานาน จึงปล่อยให้เนิ่นช้าไม่ได้ และต้องไปคุยในรายละเอียดว่าสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ พร้อมชี้ว่า ความเห็นต่างเป็นสีสันสวยงามในระบอบประชาธิปไตย แต่จะแปลงความเห็นต่างเป็นความเห็นร่วมอย่างไร ขึ้นอยู่กับพวกเรา 750 คนในวันนี้ การเห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นจุดเริ่มต้นในเรื่องดังกล่าว
“ผมขอกล่าวขอบคุณท่านประธาน ผ่านไปยังสมาชิกรัฐสภาทุกท่าน ที่จะขานชื่อให้ความเห็นชอบ เศรษฐา ทวีสิน เป็นบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย ขอขอบคุณครับ” นพ.ชลน่าน กล่าวทิ้งท้าย