จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ออกมากล่าวเตือนเครือร้านขายของชำว่า ทางกลุ่มบริษัทขายสินค้าเหล่านี้ อาจเผชิญหน้ากับการขึ้นภาษีครั้งใหม่จากรัฐบาล หากทางบริษัทไม่มีการดำเนินการควบคุมราคาอาหารที่สูงขึ้น
ทรูโดกล่าวว่าทางรัฐบาลแคนาดาจะขอร้อง ให้หัวหน้ากลุ่มเครือบริษัทซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่งของแคนาดา ซึ่งรวมถึงวอลมาร์ตและคอสต์โก จัดทำแผนเพื่อจัดการกับราคาที่สูงขึ้นของสิ้นค้า ก่อนช่วงวันขอบคุณพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ดี ทรูโดผู้ซึ่งกำลังเผชิญอยู่กับการตั้งคำถามต่อความเป็นผู้นำของเขา ท่ามกลางคะแนนนิยมจากสาธารณชนที่ลดลง ยังได้ประกาศว่ารัฐบาลแคนาดาจะยกเว้นภาษีการขาย สำหรับการก่อสร้างอะพาร์ตเมนต์ให้เช่าใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการจัดการกับข้อกังวลเรื่องค่าครองชีพ
“หากแผนของพวกเขาไม่ได้ช่วยบรรเทาอย่างแท้จริงสำหรับชนชั้นกลาง และผู้คนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้เข้ามามีส่วนร่วม เราจะมีการดำเนินการมากกว่านี้ และเราจะไม่ตัดทอนสิ่งใดเลยรวมถึงมาตรการภาษี” ทรูโดกล่าว หลังสิ้นสุดการหารือของพรรคการเมือง ในเมืองลอนดอนของรัฐออนแทรีโอ เมื่อช่วงวันพฤหัสบดี (14 ก.ย.)
นายกรัฐมนตรีแคนาดายังกล่าวอีกว่า มีความไม่สมเหตุสมผลที่เครือซูเปอร์มาร์เก็ตกำลังทำกำไรเป็นประวัติการณ์ ในช่วงเวลาที่ชาวแคนาดาจำนวนมากกำลังดิ้นรนเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ “เครือร้านขายของชำขนาดใหญ่กำลังทำกำไรเป็นประวัติการณ์” ทรูโดกล่าว “ผลกำไรเหล่านั้นไม่ควรได้รับมาจากผู้คน ที่กำลังดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัว”
ราคาของชำในแคนาดาปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 8.5% ในช่วงเดือน ก.ค.จากปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 3.3% ทั้งนี้ ผู้ค้าปลีกในแคนาดากล่าวโทษปัญหาดังกล่าว ไปที่ต้นทุนซึ่งเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตและผู้จัดหาสินค้า ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยในต่างประเทศ รวมถึงสงครามในยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาอุปโภคบริโภคสูงขึ้น
“แทนที่จะกล่าวโทษไปยังสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่าไม่เกี่ยวข้อง รัฐบาลกลางควรหันไปมองตัวเองในกระจกบ้าง” สภาการค้าปลีกแห่งแคนาดา ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี “รัฐบาลอาจดำเนินการหลายขั้นตอน เพื่อทำให้อาหารมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการยกเลิกการเก็บภาษีคาร์บอนจากเกษตรกร ผู้แปรรูปอาหาร และผู้จัดจำหน่ายเป็นการชั่วคราว และการยกเลิกเป้าหมายบรรจุภัณฑ์พลาสติกของรัฐบาลที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้กับร้านขายของชำได้ถึง 6 พันล้านดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 1.58 แสนล้านบาท) ต่อปี ”
ที่มา: