วันที่ 19 ต.ค.2566 เวลา 10.25 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือทวิภาคีกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ได้ให้ความมั่นใจว่า ไทยจะพัฒนาโครงการบีอาร์ไออย่างต่อเนื่อง และมีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง
เรื่องการขนถ่ายสินค้าจากไทยไปจีนผ่านลาว ที่พบว่ายังมีอุปสรรคคือ สะพานข้ามแม่น้ำโขงจากหนองคายไปลาว ตนได้บอกนายกฯ จีนว่า ควรผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้การขนถ่ายสินค้าเป็นไปด้วยดี ซึ่งหากสร้างสะพานดังกล่าว ในช่วง จ.หนองคาย ก็จะมีการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าด้วย
นอกจากนี้ในการประชุม ครม.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติรถไฟรางคู่จากขอนแก่นไปหนองคาย เพื่อบรรเทาความแออัดในการขนถ่ายสินค้า ระหว่างการสร้างรถไฟความเร็วสูง
รัฐบาลได้อนุมัติการทำการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ ทำให้ประเทศไทยในอนาคตจะไม่ใช่แค่เส้นทางผ่านการขนถ่ายสินค้าอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของโลก เพราะหากโครงการนี้เกิดขึ้น จะเป็นโครงการเมกกะโปรเจคที่ตอบโจทย์ปัญหาความแออัดของการขนถ่ายสินค้าทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะลดระยะทางและลดความแออัดลงได้มาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การมีแลนด์บริดจ์เชื่อมต่อระหว่างอันดามัน-อ่าวไทย จะเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่จะทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมาก จะไม่ใช่การขนถ่ายสินค้าระหว่างจีนผ่านไปอินเดีย ไปตะวันออกกลางและแอฟริกาอย่างเดียว
แต่จะสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนจีนว่า การสร้างโรงงานที่ประเทศไทย จะทำให้การขนถ่ายสินค้า ขนส่งกระจายไปทั่วโลกอย่างสบาย ซึ่งนายกฯ จีนได้ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการที่มาเสริมให้บีอาร์ไอมีศักยภาพ และเชื่อมโยงกับทั่วโลกได้ สอดคล้องกับเจตนาของประเทศจีน
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า การมาจีนครั้งนี้รัฐบาลประสบความสำเร็จ และมั่นใจว่า หากเกิดแลนด์บริดจ์ รวมทั้งการลงทุนด้านรถไฟฟ้าอีวี ซึ่งขณะนี้มีเข้ามาแล้ว 4 บริษัท และจะได้เจรจาอีก 2 บริษัท จะสามารถสร้างเม็ดเงินกว่าล้านล้านบาท ซึ่งนับตัวเลขไม่ได้ เพราะประเทศจีนพัฒนาเยอะมาก และเป็นความโชคดีที่ไทยตั้งอยู่จุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ เรามีความเป็นกลาง มีความเป็นมิตร
เมื่อวานนี้ผมรู้สึกว่า มีความผูกพันที่ดีมาก ๆ กับนายกฯ จีน ซึ่งท่านได้ให้เบอร์โทรศัพท์มือถือไว้ หากมีอะไรก็สามารถโทรพูดคุยได้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี โดยสองประเทศต้องพึ่งพากัน โดยเราต้องพึ่งจีนในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันถึงการนำเข้า-ส่งออกสินค้าการเกษตร ซึ่งจีนพร้อมสนับสนุนทุกมิติ โดยตนได้ขอให้การนำเข้าวัวของจีน ที่เป็นนโยบายหลักของไทย ที่จะส่งออกวัวให้กับจีนที่เป็นตลาดใหญ่
แต่เนื่องจากปัจจุบันการส่งออกวัว จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐานที่ประเทศลาว รัฐบาลไทยจึงขอให้มีการศูนย์ตรวจสอบที่ประเทศไทย ซึ่งจะทำตามกฎของประเทศจีนทุกอย่าง เช่น การตรวจโรค การฉีดวัคซีน ซึ่งมีความสำคัญมาก จะทำให้การพัฒนาส่งออกวัวได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางราง หรือทางเรือ ไม่ต้องไปพึ่งประเทศเพื่อนบ้าน
นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า นายกฯ จีนยืนยันจะให้ความสำคัญ และจะพิจารณาข้อเสนอของไทย ขณะเดียวกันยังได้หารือเรื่องวีซ่าฟรี ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้อนุมัติให้คนจีนเข้าไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึง 29 ก.พ.2567 แต่รัฐบาลมีความประสงค์จะขยายให้เป็นแบบระยะยาว ซึ่งทางจีนรับไปพิจารณา แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าน่าจะได้รับการตอบสนองที่ดี
อ่านข่าวอื่นๆ
8 ศพล็อตแรกอิสราเอลถึงไทย ส่งอ้อมกอดครอบครัวครั้งสุดท้าย
เตือนมิจฉาชีพ ส่ง Line อ้างช่วยตามเงินค้างจ่ายจากเหตุในอิสราเอล