พรรคพลังปวงชนไทย
เพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน

ครึ่งปีแรก 2566 จีดีพีต่ำกว่าคาด หนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียรถน่าห่วง

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลต่อสภาวะทางเศรษฐกิจไทยให้หยุดชะงัก และส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ของครัวเรือน หลายครอบครัวขาดสภาพคล่องทำให้มีแนวโน้มที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งที่เดิมทีสัดส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยนั้นมีมูลค่าสูงอยู่แล้ว

สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยสถานการณ์หนี้สินครัวเรือน ไตรมาส 1/2566 พบว่า

  • หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 15.96 ล้านล้านบาท
  • เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในช่วงเดียวกันร้อยละ 3.6
  • สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 90.6
  • (แม้ชะลอตัวจากไตรมาส 4/2565 ที่อยู่ร้อยละ 91.4 แต่ยังถือว่าสูง)
  • ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2566 ขยายตัวเพียง 1.8 % ต่ำกว่าที่คาดไว้
  • เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าที่หดตัว 5.7%
  • การอุปโภคภาครัฐที่ติดลบ -4.3%
  • การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัว 3.3 %

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย สคช.คาดว่าปี 2566 จะขยายตัวเพียง 2.5-3% ลดลงจากที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.7-3.7% ซึ่งรายได้หลักจะมาจากภาคท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่ามีรายรับอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท

การเมืองมีผลต่อบรรยากาศเศรษฐกิจ

สคช.ยังระบุถึง ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยปี 2566 ได้แก่ การบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี, การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวไทย, การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนของผู้ที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน และการเพิ่มขึ้นของกรอบงบลงทุนของภาครัฐ และฐานการขยายตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วที่อยู่ในระดับต่ำ

371533291_1039894830694586_8562600804083317868_n.jpeg

ส่วนปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดปี 2566 ได้แก่ เงื่อนไขทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนปีงบประมาณ 2567 ที่ล่าช้า อาจกระทบความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ, การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงถัดไป เพราะแม้ว่าไตรมาส 2/2566 เศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ในระยะถัดไปยังมีปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังค่อนข้างมาก เช่น ดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย

ขณะที่ตัวเลขหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ย้อนหลัง 5 ปี มีดังนี้

  • ปี 2562 หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 84.1 มีมูลค่า 14.20 ล้านล้านบาท
  • ปี 2563 หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 94.2 มีมูลค่า 14.76 ล้านล้านบาท
  • ปี 2564 หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 94.6 มีมูลค่า 15.06 ล้านล้านบาท
  • ปี 2565 หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 92.3 มีมูลค่า 15.61 ล้านล้านบาท
  • ไตรมาส 1/2566 หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 90.6 มีมูลค่า 15.96 ล้านล้านบาท
หนี้เสียรถยนต์น่าห่วง

สำหรับการก่อหนี้ครัวเรือน พบว่า มีการก่อหนี้เพื่ออสังหาริมทรัพย์ และอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้นั้น หลังการแพร่ระบาดโควิดพบว่า กลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปี มีปัญหาเรื่องหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นมากที่สุด สะท้อนถึงความเปราะบางของลูกหนี้กลุ่มนี้ และยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกยึดรถ เพราะเป็นกลุ่มที่ก่อหนี้รถยนต์มากที่สุด อีกทั้งมีสัดส่วนค้างชำระหนี้ไม่เกิน 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอายุอื่น

สภาพัฒฯ ยังชี้ถึงประเด็นหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญและต้องตามได้แก่

1) หนี้เสียและความเสี่ยงของการเป็นหนี้เสียของสินเชื่อยานยนต์ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2566 หนี้ NPL ของสินเชื่อยานยนต์ขยายตัวเพิ่มสูงถึงร้อยละ 30.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สูงที่สุดในรอบ 14 ปี

2) การติดกับดักหนี้ของลูกหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์สะท้อนจากพฤติกรรมการกู้ยืมของลูกหนี้สหกรณ์ส่วนใหญ่เพื่อใช้สอยส่วนตัวและเพื่อชำระหนี้สินเดิม

3) การส่งเสริมให้คนไทยมีทัศนคติทางการเงินที่ถูกต้อง แม้ว่าคนไทยจะมีระดับความรู้ทางการเงินดีขึ้น แต่การสำรวจการติดตามระดับความรู้ และการเข้าถึงบริการทางการเงินของครัวเรือน ปี 2565 พบว่า ทัศนคติทางการเงินที่ถูกต้องของคนไทยลดลงเมื่อเทียบกับปี 2563

ด้วยเหตุนี้ สคช.เสนอไว้ 5 แนวทางในการแก้ปัญหาดังนี้

1.ขยายความครอบคลุมของสมาชิกเครดิตบูโร โดยมีมาตรการจูงใจให้ผู้ให้สินเชื่อทุกกลุ่มเข้าเป็นสมาชิก NCB อาทิ งดเว้นเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า และกำหนดให้ผู้ให้สินเชื่อต้องใช้ข้อมูลของ NCB ประกอบด้วยทุกครั้ง

2.ต้องมีการกำกับดูแลให้ผู้ให้บริการสินเชื่อดำเนินการตามเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเข้มงวด โดย ธปท. มีการจัดทำเกณฑ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ควรมีการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการของผู้ให้สินเชื่อร่วมด้วย

3.หน่วยงานรัฐในฐานะคนกลางต้องส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ที่สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่างรายได้และภาระหนี้ หรือระยะเวลาที่สามารถผ่อนชำระหนี้ต่อไปได้

4.ส่งเสริมการปลูกฝัง Financial literacy และวินัยทางการเงินต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงวัย โดยวัยเด็ก/วัยเรียนควรมีหลักสูตรที่ช่วยปลูกฝังพฤติกรรมทางการเงินที่ดี ขณะที่วัยทำงานควรสร้างความตระหนักรู้ในการวางแผนทางการเงิน การลงทุน และการเก็บออม และกลุ่มผู้สูงอายุควรคำนึงถึงการใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็น และระมัดระวังในการก่อหนี้

5.ดำเนินนโยบายที่ไม่กระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ หรือกระทบต่อการชำระหนี้ของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีหนี้สะสมเป็นจำนวนมาก เช่น เกษตรกร เนื่องจากจะสร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม อาทิ การไม่ชำระหนี้ เพราะรอนโยบายพักชำระหนี้ของรัฐ หรือการก่อหนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีเงินในมือมากขึ้น

ทิ้งคำตอบไว้

อีเมล์ของคุณจะไม่ถูกเผยแพร่


This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More