หน้าแรก Thai PBS ไม่ตรงปก! แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท-รุมสับไปไม่รอดกู้เงินอนาคต

ไม่ตรงปก! แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท-รุมสับไปไม่รอดกู้เงินอนาคต

84
0
ไม่ตรงปก!-แจกเงินดิจิทัล-10,000-บาท-รุมสับไปไม่รอดกู้เงินอนาคต

#ดิจิทัลวอลเล็ต ติดคำค้นสูงสุดทันทีในทวีต X หลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงผลสรุปการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 2/2566 

ชาวโซเชียลจำนวนมากพูดถึงทั้งหลักเกณฑ์คนได้รับสิทธิ และเงื่อนไขการซื้อสินค้าในวงกว้าง รวมทั้งนักวิชาการ นักการเมือง และแม้แต่ สว.รวมทั้งนักเคลื่อนไหวชื่อดัง

แจกเงินดิจิทัลไม่ตรงปก-ส่อผิด ม.53 

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) บอกว่า สรุปสั้น ๆ ที่มาของเงินก็คือการตรากฎหมายพิเศษ “กู้เงิน” 500,000 ล้านบาท หาใช่การบริหารระบบงบประมาณและระบบภาษีตามที่แจ้ง กกต. ไว้เมื่อปลายเดือนเม.ย.2566 แต่ประการใด

ปัญหาต่อไปก็ตัองดูว่ากฎหมายพิเศษที่ว่านี้จะเข้าเงื่อนไขตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังมาตรา 53 หรือไม่อย่างไร เบื้องต้น ก็ต้องดูว่ากฤษฎีกาจะให้ความเห็นอย่างไร

มาตรา 53 บัญญัติไว้ว่าจะออกกฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงินได้นั้นต้องเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน และอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน

เช่นเดียวกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ได้แสดงความเห็นผ่านทาง เฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala -ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล โดยระบุว่า

แจกเงินดิจิทัลไม่ตรงปก

ข้อมูลระบุว่า นายกรัฐมนตรีเศรษฐา แถลงความคืบหน้าโครงการเงินดิจิทัล ระบุว่า รัฐบาลได้ข้อสรุปจะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 600,000 ล้านบาท โดยอยู่ในดิจิทัล วอลเล็ต 500,000 ล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน และอีก 100,000 ล้านบาท ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถโดยทั้งหมด จะต้องผ่านกระบวนการตามกฎหมาย ทั้งนี้นายธีระชัย ตั้งข้อสังเกตว่า

ประการแรกอาจฝ่าฝืน พ.ร.บ.วินัยการเงินฯ มาตรา 9 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า

คณะรัฐมนตรี ต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว

เนื่องจากสถานะตัวเลขเศรษฐกิจไทย ยังไม่ได้เลวร้าย ยังไม่มีปัญหาตัวเลข จีดีพี ถึงขั้นติดลบ ยังไม่มีวิกฤตฟองสบู่แตกในตลาดโลก จึงมีความเห็นว่า โครงการดิจิทัล วอลเล็ต 500,000 ล้านบาท ที่ไม่ใช่โครงการเพื่อเพิ่มความสามารถของประเทศนั้น 

ย่อมอาจถูกตีความได้ว่า เข้าข่ายมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองและเนื่องจากมีนักวิชาการมากมาย ที่ทักท้วง เตือนว่าโครงการที่เน้นอุดหนุนกรรอุปโภคบริโภค แต่ไม่เพิ่มขีดความสามารถเช่นนี้ จะเพิ่มหนี้สาธารณะอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว

พ.ร.บ.นี้ จึงอาจฝ่าฝืน พ.ร.บ.วินัยทางการเงินฯ

อ่านข่าว จับกระแสการเมือง 10 พ.ย.2566 “ดิจิทัลวอลเล็ต” เงินกู้อนาคต VS หนี้ระยะยาวคนไทย

ประเด็นที่ 2  ไม่ได้พัฒนาประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ระบุว่าจะใส่เงินในกระเป๋าดิจิทัล แต่ไม่ใช่เงินดิจิทัล โครงการนี้ที่เดิมโปรโมทว่า จะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ให้แก่ประเทศ อันจะทำให้พัฒนาสู่เศรษฐกิจดิจิทัลแบบก้าวกระโดด

โปรโมชันดังกล่าว จึงไม่เป็นความจริง แต่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้านบาท มีสภาพเป็นเพียงการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นการอุปโภคบริโภคแบบพื้นๆ เท่านั้น

ส่อเอื้อประโยชน์ร้านค้าปลีก-หุ้นขึ้นหลังแถลง

ประเด็นที่ 3  เปิดตลาดส่วนลด เนื่องจากรัฐบาลยังกำหนดเงื่อนไข ที่ฝืนธรรมชาติ ความเดือดร้อนระดับครัวเรือนของประชาชน เช่น ห้ามเอาไปชำระหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ ห้ามเอาไปซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง ห้ามเอาไปจ่ายค่าเทอมค่าเรียนของลูก

ดังนั้น ข้อวิจารณ์ว่า จะมีบางร้านค้าที่เปิดช่องให้ประชาชนซื้อสินค้าด้วยเงินดิจิทัล ขายคืนในราคาส่วนลด เพื่อรับเงินบาทตามปกติ จึงยังมีผลอยู่ การที่รัฐบาลทำโครงการ อันก่อให้เกิดการค้าส่วนลดเช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่เหมาะสม

ประเด็นที่ 4 เอื้อประโยชน์แก่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่มากกว่า ภายหลังจากท่านนายกฯ แถลงข่าว ราคาหุ้นของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ขยับสูงขึ้นพอสมควร ร้านค้าปลีกขนาดเล็กจะมีปัญหา เพราะในอดีต เมื่อเคยเข้าร่วมโครงการในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

ปรากฏว่าบางรายถูกประเมินภาษีเพิ่มขึ้น จึงอาจเป็นอุปสรรคที่ร้านค้าขนาดเล็กจะเข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าว ได้ตัดพ่อค้าหัวมุมถนน และแม่ค้าเท้าเปล่าในตลาดข้างบ้าน ออกไปโดยสิ้นเชิง

โครงการที่เอื้อประโยชน์แก่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่มากกว่า จึงกลับจะเพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

อ่านข่าว นายกฯ โชว์ผลงาน 60 วันแรก รุกทุกงาน เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้หนี้

ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก Sirikanya Tansakun – ศิริกัญญา ตันสกุล ระบุว่า สิ่งที่นายกแถลงวันนี้ เป็นการยอมรับว่าไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วน ทั้งเรื่องว่าจะเอาแหล่งเงินมาจากไหน

สุดท้ายต้องกู้มาแจก และเทคโนโลยีจาก super application ที่ย้อนกลับมาใช้เป๋าตัง ซ้ำร้าย เงินดิจิทัล 10,000 บาท อาจจะไม่มีใครได้เงินเลยซักคนเดียว

เพราะทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท ขัดต่อ ม.140 ของรัฐธรรมนูญ และ ม.53 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง แต่ก็ยังเลือกทางนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยย่อมทราบดี เพราะเป็นกรณีเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญปัดตก พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน (รถไฟฟ้าความเร็วสูง) เมื่อปี 2556

หรือเป็นเพียงการสร้างภาพให้ความมั่นใจกับประชาชนว่ากำลังจะได้เงิน ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไปไม่รอดแน่ เป็นการสร้างกับดักเพื่อที่ในอนาคต หากมีบรรดานักร้อง หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปร้องต่อศาล รธน. (ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่ไปร้องแน่นอน) ก็จะสามารถอ้างได้ว่าเป็นความผิดของศาล รธน.ในการปัดตกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล

ขอคัดค้านสุดตัวไม่ให้เรื่องนี้มี ศาล รธน.เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ก็ให้มันจบที่ คกก.กฤษฎีกา เป็นคนตีความ และรัฐบาลรับผิดชอบในทางการเมืองด้วยตัวเอง

แต่ถ้าถึงที่สุด เกิดอภินิหารและร่างพรบ.นี้ผ่านสภาไปได้ การผ่อนชำระคืนใน 4 ปี บวกดอกเบี้ยในแต่ละปี จะสร้างภาระทางการคลังขึ้นไปเกือบร้อยละ 20 ของรายได้รัฐบาล เท่ากับเก็บภาษีมาได้ก็เอาไว้จ่ายคืนหนี้ ดอกเบี้ยต่องบประมาณจะทะลุร้อยละ 10 ในปีงบ 2568 ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาสถาบันจัดเครดิตเรตติงเฝ้าจับตาเพื่อรอหั่นเรตติงอยู่แน่นอน

“ศรีสุวรรณ” ฟ้องผู้ตรวจการแผ่นดิน 13 พ.ย.นี้ 

ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า แหล่งเงินที่จะนำมาแจกคือ การออก พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 ล้านนั้น การใช้ช่องทางในการกู้เงินมาแจกดังกล่าว น่าจะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 ประกอบ มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ

มิได้เป็นเหตุเร่งด่วนใดๆ ที่จะต้องกู้เงินมาแจก ไม่เหมือนสมัยที่มีวิกฤตการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ที่รัฐจำเป็นต้องกู้เงินมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

แต่การที่รัฐบาลของนายเศรษฐา จะกู้เงินมาแจกโดยออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงินนั้น เป็นการเลี่ยงบาลี เพื่อต้องการสร้างภาพในการตอบสนองนโยบายที่พรรคของตนเคยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น

แต่คนไทยทั้ง 70 ล้านคนจะต้องมาร่วมกันแบกรับหนี้ เพื่อร่วมกันใช้หนี้ดังกล่าวในอนาคต บนความสุขสบายจนน้ำลายหกของกลุ่มทุนเจ้าของสินค้าและบริการที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มนายกรัฐมนตรีและพรรคพวกเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ดังนั้นจึงจะร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์ราชการฯ อาคาร B เพื่อขอให้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า การออก พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 ประกอบ มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 หรือไม่  

อ่านข่าว เช็กเลย! กระชากเศรษฐกิจด้วยเงินหมื่น Digital ยังไงบ้าง

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่