หน้าแรก ข่าวสารจากพรรค 'นายก' พอใจผลประชุมเอเปค เตรียมสานต่อหวังดึงนักลงทุนย้ายฐานการผลิต

'นายก' พอใจผลประชุมเอเปค เตรียมสานต่อหวังดึงนักลงทุนย้ายฐานการผลิต

80
0

นายกรัฐมนตรี พอใจผลประชุมเอเปคและหารือผู้นำต่างประเทศ เตรียมเรียกทีมหารือ สานต่อผลการเจรจาพรุ่งนี้ หวังดึงนักลงทุนย้ายฐานการผลิตมาไทย เผยเชิญ “ โจ ไบเดน” เยือนไทยอย่างเป็นทางการ หลังประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เยือนไทยกว่า 10 ปี ย้ำ พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นกรณีเงินดิจิตอล 10,000 บาท ต้องการวิธีการใหม่ๆในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลัง9ปีเศรษฐกิจไทยโตแค่ 1.8%

ช่วงเช้าวันนี้(19 พ.ย.) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เศรษฐา ทวีสิน เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ถึงประเทศไทย กว่า17ชั่วโมง และมาร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 ในโอกาสครบรอบ 90 ปี หอการค้าไทย ณ ห้องภิรัชฮอลล์ 1 – 3 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เพื่อร่วมปาถากฐาพิเศษ ในหัวข้อ ‘The time to act is now พลิกวิกฤต ฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน’ ทันที

 โดยได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงภารกิจนายก ภายหลังเดินทางเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค ณ ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เสร็จสิ้น  ว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจ  ที่พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งซานฟรานซิสโก  โดยมีบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ 

ขณะที่ได้นั่งทานอาหารข้างกับ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา  และได้มีการพูดคุยกัน  ยืนยันว่าไทยพร้อมที่จะเป็นทางเลือก ให้บริษัทใหญ่ของสหรัฐอเมริกา  ได้เข้ามาตั้งฐานผลิตที่ไทยเพื่อกระจายความเสี่ยง  ซึ่งเห็นกันอยู่ว่าตอนนี้มีหลายประเทศเข้ามาร่วมลงทุนที่ไทย   นอกจากนี้ยังได้ถือโอกาสเชิญนายโจ ไบเดน  เดินทางมาไทยโดยระบุว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา  มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการมากกว่า 10 ปีแล้ว  จึงได้เรียนเชิญนายโจ ไบเดน มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ  ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงการต่างประเทศก็จะประสานงานต่อไป 

นายเศรษฐา เผยว่าได้พบกับ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน  ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย พูดคุยกันในหลายประเด็น  ซึ่งสัมผัสได้ว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิง  เป็นคนที่มีพลังอบอุ่นและเป็นมิตร  ตนเองยังได้แสดงความยินดี ผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มซี นัดแรก ที่ราชมังคลากีฬาสถาน  เมื่อวันที่ 16 พ.ย.66 ทีมชาติไทย แพ้ให้กับทีมชาติจีน 1-2  ซึ่งประธานาธิบดีสีจิ้นผิง  บอกว่าน่าจะฟลุ๊คมากกว่า โดยท่านก็อวยพรให้ทีมไทยชนะและผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกเช่นกัน 

นายเศรษฐา ยังเผยว่าได้กับนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ที่มีการหารือ ทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีแคนดานา โดยพูดติดตลกว่า ‘ไม่ได้คุยเรื่องถุงเท้า’ แต่คุยเรื่องการผลักดันFTAอาเซียนแคนนาดาหน่อย ให้ช่วยเกิดการกระตุ้นอาเซียนให้ทำงานให้เยอะขึ้น และตนเองได้ขอร้องให้ดูแลเรื่องวีซ่า เพราะมี นักเรียนไทยที่ใช้เวลานานเหลือเกินในการขอวีซ่า ท่านก็รับปากจะไปดูให้

และยังมีการพบปะกับระฐมนตรีพาณิชย์ มาจากภาคธุรกิจเหมือนกันมองตาก็รู้ใจ และเห็นด้วยกับการผลักเันการค้าและการลงทุนกับประเทศไทย ซึ่งไทยก็เป็นคู่ค้ารายใหญ่ และยินดีให้ความร่วมมือ

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยถึงการเข้าพบกับนักธุรกิจรายใหญ่ของสหรัฐหลายราย ที่ส่วนใหญ่ก็ให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย  เช่น บริษัทเทสล่า ที่สนใจจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวีในประเทศไทย และในสัปดาห์หน้าผู้บริหารระดับสูงก็จะบินเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมาดูสถานที่ตั้งโรงงาน พี่ล่าสุดมีผู้เสนอขายที่ให้ตั้งโรงงานจำนวน 3 ราย พร้อมกันนี้ตนได้เชิญไปร่วม สัมผัสซอฟพาวเวอร์ของไทยในงานยี่เป็ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ 

บริษัท เอดีไอ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ สนใจมาลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในไทย 

ผลการหารือกับบริษัท วอลมาร์ท จะขยายเรื่องอาหารฮาลาน และผลไม้สด อาหารสด  โดยของให้มีการคมนาคม ศุลกากร เพื่อขนส่งสินค้าด้วยความรวดเร็ว สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 

 บริษัท  เวสเทิ้น ดิจิทัล จะย้ายฐานจากฟิลิปปินส์มาไทย ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจ และบริษัทนี้ยังรักเมืองไทย 

และบริษัท แอปเปิ้ล ที่จะส่งเสริมคนพัฒนาแอบพลิเคชั่นในไทยที่มีกว่า 3 แสนคน เพื่อต่อยอด ซึ่งจะเสนอให้ทำเทนนิ่งเซนเตอร์  พร้อมสนับสนุนการลงทุน  โดยอาจจะทำที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งในวันที่ 28 พ.ย.นี้ จะให้หน่วยงานในพื้นที่หารือกัน 

เมื่อถามว่า การเดินทางเยือนสหรัฐในครั้งนี้ถือว่าพอใจและประสบความสำเร็จหรือไม่ นายเศษฐา กล่าวว่า ยังมีรายละเอียดที่ต้องดำเนินการอีกมาก โดยในวันพรุ่งนี้ตนจะร่วมประชุมกับทีมงาน หลังจากเข้าร่วมประชุมแล้วใครต้องตามงานอะไร อย่างไรบ้าง ไม่ได้เป็นการพบปะ แล้วก็พอใจสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แต่เราต้องเดินทางให้เยอะขึ้น  ทำให้เยอะขึ้น จากการพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจหลายราย  โดยนักธุรกิจรายหนึ่งที่ทำด้านโลจิสติกส์  ซึ่งบอกว่าประเทศไทยเป็นที่เป็นที่หมายปองของหลายบริษัท ที่อยากจะย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย  ที่เป็นประเด็นที่ตนจะต้องมาหารือกับสภาหอการค้าไทยในวันนี้ด้วย ซึ่งมีนักธุรกิจอยู่มาก  โดยจะได้มีการพูดคุยกัน และจะบอกว่าประเทศเราเป็นที่หมายปอง พวกเราทุกคนต้องเปิดกว้าง ต้องเดินทางออกไปค้าขาย ขณะที่รัฐบาลเองก็พร้อมที่จะเจรจาเรื่อง FTA ทุกหน่วยงาน  รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็พร้อมที่จะเปิดและแก้ไขกฎหมายหลายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยว วีซ่าฟรี เปิดสถานบริการให้ยาวขึ้น  และกวาดล้างมิจฉาชีพต่างๆ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่   ส่วนตัวไม่อยากจะบอกว่าประสบความสำเร็จ. แต่พวกเราต้องทำงานอีกมาก  เชื่อว่ารัฐมนตรีหลายๆ คน ได้รับฟังน่าจะรู้สึกตื่นเต้น  และทุกคนน่าจะทราบว่าแต่ละคนมีหน้าที่จะต้องดำเนินการอย่างไร  

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ก็เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท แต่ก็มีบางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้  นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็พร้อมรับฟังความเห็นต่างๆ และขอบคุณนายธนินท์ ที่ให้การสนับสนุน ต้องไปดูว่าประเทศเราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่นโยบายหลักไม่ว่าจะเป็น ลดค่าใช้จ่าย การสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลทำอยู่แล้ว จะส่งผลระยะสั้นแต่ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการย้ายถิ่นฐานการผลิตของหลายๆ บริษัทเข้ามา กว่าจะตอกเสาเข็มและส่งสินค้าออกไป ต้องใช้เวลาหลายปี  โดย 9 ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 1.8% เราจึงต้องการวิธีการใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

เมื่อถามต่อว่า ในส่วนของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้ ไม่ใช่ภาวะวิกฤตจนต้องกู้เงิน นายเศรษฐา กล่าวว่าพร้อมรับฟังและรับทราบ และอย่างที่ตนได้บอกตลอดเวลาว่า มีอยู่ประเด็นเดียว  วิกฤติหรือจำเป็นหรือไม่  ซึ่งตนถือว่าวิกฤติ  ถ้าเกิดบอกว่าวิกฤตแล้ว GDP ต้องติดลบ  อันนั้นก็มีวิกฤติ  แต่ถ้ามองดูว่า 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเราโตขยายตัวอยู่ที่ 1.8 คู่แข่งเราไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย  เศรษฐกิจเขาขยายตัวโตเท่าไหร่ ขอให้ย้อนกลับไปดูตัวเลขย้อนหลัง และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างไร สาเหตุที่ค่าแรงขึ้นไม่ได้เพราะอะไร  เพราะทุกธุรกิจเรารายได้ไม่ได้ขยายตัวขนาดนั้น  รายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 300 เพิ่มเป็น 337 บาท  กลับบ้านเถอะครับ  เราก็เห็นใจผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย  ว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เนื่องจากหลายๆ เหตุผล  กว่า FTA จะเจรจาแล้วเสร็จใช้เวลา 1-2 ปี  และกว่าจะต้องโรงงานก็ใช้เวลานานพอสมควร กว่านโยบายหลายหลายนโยบายจะประสบความสำเร็จก็ต้องใช้เวลา ซึ่งระหว่างนี้เราจะทำอะไรกัน ก็ฝากไว้แล้วกัน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่