‘ณัฐวุฒิ’ เรียกร้อง ‘รัฐบาล-ฝ่ายค้าน’ ร่วมกันผลักดัน ‘กฎหมายนิรโทษกรรม’ ปลดโซ่ตรวนพันธนาการให้คนหนุ่มคนสาว กลับมามีชีวิตและอนาคต
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พนักงานเสิร์ฟ กล่าวในการร่วมเวที “The Standard Economic Forum 2023 ‘Thailand’s Political Power Game’ อ่านเกมอำนาจใหม่การเมืองไทย” ว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่งอยากนำเสนอต่ออำนาจรัฐปัจจุบันและพรรคฝ่ายค้าน ได้ทำให้ประชาชนเห็นว่าหลังการเลือกตั้ง 2566 เกิดสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้างเพื่อให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างน้อยที่สุดได้ขยับประเทศไทยไปข้างหน้า อาทิ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเกิด ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ กฎหมายก้าวหน้าต่างๆ กฎหมายสมรสเท่าเทียมและสุราก้าวหน้าจะต้องเกิด รวมไปถึงกฎหมายที่ให้การคุ้มครองอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนที่ถูกปราบปรามโดยอำนาจรัฐที่จะต้องเกิด ผู้สั่งการให้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมอาวุธปราบปรามประชาชนจะลอยนวลเหมือนในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าเหตุการณ์เมื่อปี 2552 และ 2553 หรืออื่นๆ หลังจากนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเป็นหลักประกันให้กระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในอนาคตด้วย
“ที่สำคัญ ผมขอเรียกร้องให้อำนาจรัฐและฝ่ายค้านปัจจุบัน ผลักดันวาระนิรโทษกรรมผู้ต้องหา ผู้ต้องคดีความ ผู้ต้องจำขังทางการเมือง ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกค่ายทุกสี ทุกข้อกล่าวหา ทุกบทบัญญัติ ทุกข้อกฎหมาย ไม่มีการยกเว้น ถ้าจะเว้น ก็คือความผิดอันเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน และความผิดซึ่งเกิดผลถึงแก่ชีวิต ทั้งต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่” พนักงานเสิร์ฟ กล่าว
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นก็ควรจะต้องอยู่ในกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ด้วย เพราะเงื่อนไขทางการเมืองปัจจุบัน การจับขั้วทางการเมืองในรัฐบาลปัจจุบัน ได้ทำให้การแบ่งฝักฝ่าย แบ่งข้างทางการเมือง ตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา มันพร่าเลือนและแทบจะไม่มีเส้นแบ่งตรงนั้นไปแล้ว และหลายฝ่ายก็อธิบายว่านั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของการปรองดองสมานฉันท์ ต่อไปเมืองสู้กันในระบบ สู้กันในสนามเลือกตั้ง หากจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องปลดโซ่ตรวนพันธนาการให้คนหนุ่มคนสาวที่ต้องคดีความด้วย
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2563 เราเอาลูกไปขังไปตีแล้วเท่าไร และต้องถามว่าพอหรือยัง และถึงเวลาหรือยังที่หยิบยื่นอ้อมกอดของความเมตตาให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้น ไม่ว่าจะคิดตรงหรือคิดต่างได้กลับมาเดินบนวิถีทางแห่งอนาคต ได้เดินหน้าเข้าห้องเรียนและเดินหน้าสู่โลกอาชีพ แล้วก็ได้ยืนอย่างมีเกียรติยศศักดิ์ศรีมีเสรีภาพทางความคิด และมีประสบการณ์ผ่านความเจ็บปวดจาการต่อสู้ เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้มแข็งและเข้าใจความจริงของประเทศในการเดินไปข้างหน้า
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า การปล่อยให้คนหนุ่มสาวยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเผชิญหน้ากับกฎหมายมาตราใดมาตราหนึ่งเพียงลำพัง ไม่สามารถทำให้สังคมไทยทั้งสังคมเดินไปข้างหน้าได้จริง ซึ่งไม่ควรมียุคสมัยใดมีใครถูกจำขังเพราะความคิดที่แตกต่าง และจะต้องไม่มียุคสมัยใดมีใครถูกโบยตีเพียงเพราะเห็นไม่ตรงกับอำนาจรัฐไปบ้าง
“ผมไมไ่ด้บอกว่าถ้านิรโทษกรรมกันแล้ว ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ ใครอยากพูดอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดส่งเสริมให้พ้นผิดหรือส่งเสริมให้ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำ แต่กำลังบอกว่าหากมีการนิรโทษกรรมไปแล้วกลไกรัฐ จำเป็นจะต้องมีกระบวนการในการพิจารณาการบังคับใช้กฎหมายแต่ละบทบัญญัติ แต่ละมาตราให้ชอบด้วยหลักนิติธรรม ลดแรงเสียดทานและลดการถูกตั้งคำถามเรื่องหลักนิติธรรมให้มากที่สุด เพราะอยากเห็นคนหนุ่มคนสาวรอดจากคดีความ คนที่ลี้ภัยภัยไกลบ้านได้เห็นว่าบ้านหลังนี้เปิดต้อนรับ ส่วนเขาจะกลับหรือไม่กลับก็เป็นเสรีภาพของแต่ละคน” พนักงานเสิร์ฟ กล่าว
ติดตามเนื้อหาได้ที่ : https://youtu.be/JvTCkXsXvas