วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่ารัสเซียกำลังยกระดับคลังแสงนิวเคลียร์ และรักษากองกำลังทางยุทธศาสตร์ของตัวเอง ให้อยู่ในระดับพร้อมสูงสุด ในขณะที่ชาติตะวันตกกำลังก่อ “สงครามผสมผสาน” เพื่อต่อต้านรัสเซีย
ปูตินกล่าวในการประชุมเจ้าหน้าที่กลาโหมอาวุโส เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (19 ธ.ค.) ว่า รัสเซียจะสานต่อ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ในยูเครน และความพยายามใดๆ ทั้งหมดที่จะสร้างความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ต่อรัสเซียนั้นได้พังทลายลง
ประธานาธิบดีรัสเซียยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าแสวงหาประโยชน์จากยุโรปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และกล่าวว่ารัสเซียไม่ได้วางแผนในการทำสงครามกับยุโรป นอกจากนั้ ปูตินยังระบุด้วยว่ารัสเซียจะเตรียมพูดคุยกับยูเครน สหรัฐฯ และยุโรปเกี่ยวกับอนาคตของยูเครน หากทางชาติพันธมิตรตะวันตกต้องการ แต่รัสเซียจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเอง
“ในยูเครน พวกที่ก้าวร้าวต่อรัสเซีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา พวกเขาต้องการเจรจาหรือไม่ ปล่อยให้พวกเขาไป (ตัดสินใจ) แต่เราจะทำมันโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ” ปูตินกล่าว “เราจะไม่ละทิ้งสิ่งที่เป็นของเรา”
ปูตินยังกล่าวอีกว่า รัสเซียจะดำเนินการตามผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อมีการทำข้อตกลงกับยูเครน โดยไม่คำนึงถึงความพยายามของยูเครนในการทำข้อตกลงใดๆ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีรัสเซียยังประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เป้าหมายของรัสเซียในยูเครนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และจะไม่มีสันติภาพจนกว่ารัสเซียจะบรรลุผลสำเร็จ
ปูตินกล่าวย้ำว่า การเป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรทางทหารในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ของยูเครน “ไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับรัสเซียในอีก 10 ปี และไม่ใช่ในอีก 20 ปี” ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีรัสเซียได้กล่าวว่า อุตสาหกรรมด้านการกลาโหมของรัสเซียตอบสนองต่อความขัดแย้งในยูเครนได้เร็วกว่าทางชาติตะวันตก
ในขณะเดียวกัน เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซีย กล่าวในการประชุมครั้งเดียวกันว่า รัสเซียได้เพิ่มพลังการผลิตรถถัง 5.6 เท่า นับตั้งแต่เริ่มการรุกรานยูเครนของรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว และรัสเซียได้วางทุ่นระเบิดเป็นพื้นที่กว้างกว่า 7,000 ตารางกิโลเมตร ตลอดระยะทาง 2,000 กิโลเมตรตามแนวหน้ารบ
รัสเซียประกาศข้ออ้างในการรุกรานยูเครนเพื่อ “การถอนระบอบนาซี การปลดอาวุธ และการทำให้เกิดสถานะความเป็นกลาง” ซึ่งปูตินได้กล่าวถึงข้ออ้างดังกล่าวในหลายครั้ง ตลอดช่วงเวลานับตั้งแต่การรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย ที่เริ่มขึ้นเมื่อเดือน ก.พ. 2565 มาจนถึงปัจจุบัน
รัสเซียยังได้กล่าวหาว่ารัฐบาลยูเครนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากกลุ่ม “ชาตินิยมหัวรุนแรง” และกลุ่มนีโอนาซี ซึ่งยูเครนและชาติพันธมิตรตะวันตกออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ทั้งนี้ รัฐบาลรัสเซียยังเรียกร้องอย่างต่อเนื่องว่า ยูเครนจะต้องยังคงเป็นกลางและไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO
ก่อนหน้านี้ ปูตินในวัย 71 ปี ประกาศว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน มี.ค. 2567 ซึ่งแทบจะเป็นที่แน่นอนว่าปูตินจะชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 5 หลังจากเขามีอำนาจปกครองรัสเซียมานานกว่า 24 ปี รวมถึงการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา ทั้งนี้ ชัยชนะการเลือกตั้งในปีหน้าจะส่งผลให้ปูตินยังคงเป็นประธานาธิบดีรัสเซียไปจนถึงปี 2573
ที่มา: