คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ลงมติให้เพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซา ภายหลังจากที่การลงมติดังกล่าวล่าช้าออกไปหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่สหรัฐฯ ล็อบบี้ให้ร่างมติมีการลดการใช้สำนวนที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องให้มีการหยุดยิง
มติให้เพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซาดังกล่าว ซึ่งเรียกร้องให้มีขั้นตอนต่างๆ “เพื่อสร้างเงื่อนไขสำหรับการยุติความเป็นปรปักษ์อย่างยั่งยืน” ได้รับการผ่านมติเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 13 เสียง และไม่มีชาติใดคัดค้าน ในขณะที่สหรัฐฯ และรัสเซียลงมติงดออกเสียง
การลงมติในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนานาชาติ ให้ยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนในฉนวนกาซา ในขณะที่กองกำลังอิสราเอลเดินหน้าถล่มโจมตีฉนวนกาซาด้วยปฏิบัติการทำลายล้างที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ตามมาด้วยสภาพด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาที่ถูกปิดล้อมซึ่งตกอยู่ในระดับวิกฤติร้ายแรง
ปัจจุบันนี้ มากกว่า 90% ของประชากรในฉนวนกาซา 2.3 ล้านคนต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่ และเจ้าหน้าที่สหประชาชาติกล่าวว่า สภาพการณ์ภายใต้การล้อมโจมตีและการทิ้งระเบิดของอิสราเอล ทำให้ฉนวนกาซาไม่ต่างอะไรไปจาก “นรกบนดิน”
การเจรจาที่เข้มข้นเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยประเทศสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอื่นๆ มองหาสำนวนที่จะไม่ทำให้สหรัฐฯ ลงมติยับยั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ มติที่เกี่ยวข้องกับฉนวนกาซาในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่มีสมาชิก 15 ประเทศ มีสหรัฐฯ เป็น 1 ใน 5 ประเทศที่ลงมติยับยั้งไป
ร่างต้นฉบับเดิมมีการเรียกร้องให้ “ยุติความเป็นปรปักษ์อย่างเร่งด่วนและยั่งยืน” และให้สหประชาชาติเพิ่มการควบคุมการส่งความช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซา อย่างไรก็ดี ร่างมติที่ผ่านการลงมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในครั้งนี้ เลือกใช้สำนวนที่ไม่ชัดเจนในการเรียกร้องให้มีการหยุดยิง และยังคงให้การควบคุมความช่วยเหลือทั้งหมดเป็นของอิสราเอล
“นี่เป็นเรื่องยาก แต่เราทำได้สำเร็จ” ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวหลังการลงคะแนนเสียง
ในขณะที่รถบรรทุกช่วยเหลือจำนวนมาก ได้ส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นอย่างมากเข้าไปในฉนวนกาซา โดยกลุ่มบรรเทาทุกข์ต่างๆ กล่าวว่าการจัดการวิกฤตด้านมนุษยธรรมของฉนวนกาซาอย่างแท้จริงนั้น จะไม่สามารถทำได้ตราบใดที่การสู้รบยังดำเนินต่อไป
“ปัญหาที่แท้จริงก็คือ วิธีที่อิสราเอลดำเนินการรุกโจมตีนี้ กำลังสร้างอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการกระจายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมภายในฉนวนกาซา การดำเนินการช่วยเหลือที่มีประสิทธิผลในฉนวนกาซาจำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ที่สามารถทำงานได้ด้านความปลอดภัย ความสามารถด้านการขนส่ง และการกลับมาดำเนินกิจกรรมเชิงพาณิชย์อีกครั้ง องค์ประกอบทั้งสี่นี้ไม่มีอยู่จริง” อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการลงคะแนนเสียง
ก่อนการลงคะแนนเสียง รัสเซียเสนอการแก้ไขเพื่อเสริมสร้างสำนวนเกี่ยวกับการหยุดยิง โดยรัสเซียระบุว่าร่างมติดังกล่าวถูกสหรัฐฯ “ทำหมัน” ไปแล้ว “โดยการลงนามในเรื่องนี้ คณะมนตรีจะให้เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายแก่กองทัพอิสราเอลโดยสมบูรณ์ เพื่อการกวาดกำจัดฉนวนกาซาเพิ่มเติม” วาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตสหประชาชาติรัสเซียประจำสหประชาชาติ กล่าวกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก่อนการลงคะแนนเสียง
โธมัส-กรีนฟิลด์กล่าวหาเนเบนเซียว่าหน้าซื่อใจคด โดยเธอได้กล่าวโจมตีการรุกรานยูเครนของรัสเซียที่เริ่มขึ้นในเดือน ก.พ. 2565 อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าใช้สองมาตรฐาน เมื่อเทียบกับจุดยืนของตัวเองในประเด็นฉนวนกาซา โดยนักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่า สหรัฐฯ ใช้เวลาหลายเดือนแล้ว ในการกล่าวโทษรัสเซียด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศในยูเครน ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ กลับมอบอาวุธและการสนับสนุนทางการทูตแก่อิสราเอล แม้ว่าจะเผชิญกับข้อกล่าวหาที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวเองในฉนวนกาซาก็ตาม
การลงมติยับยั้งของสหรัฐฯ ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิงเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ เป็นหนึ่งในไม่กี่เสียงที่เห็นค้านกับการยุติการเป็นปรปักษ์กันในความขัดแย้งอิสราเอล-กาซาของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่ชาติสมาชิกเสียงส่วนมากอย่างล้นหลาม ได้ผ่านมติเรียกร้องการหยุดยิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ สหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการสังหารชาวปาเลสไตน์ที่ไม่มีอาวุธโดยกองกำลังอิสราเอลในฉนวนกาซา ในขณะที่โรงพยาบาล โรงเรียนของสหประชาชาติ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ มัสยิด และโบสถ์ ต่างตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลเช่นกัน
อิสราเอลอ้างว่ากองทัพอิสราเอลกำลังดำเนินการเพื่อกำจัดกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ที่ปกครองฉนวนกาซา และเป็นผู้เปิดฉากโจมตีพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอลอย่างร้ายแรง เมื่อช่วงวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นพลเรือน อีกทั้งยังมีการจับกุมตัวประกันไปมากกว่า 240 คน
อย่างไรก็ดี อิสราเอลได้เข้าโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินต่อฉนวนกาซา ซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปมากกว่า 20,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก
ที่มา: