หน้าแรก Thai PBS คุยเปิดอกนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” มั่นใจ “ผมก็ของจริงเหมือนกัน”

คุยเปิดอกนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” มั่นใจ “ผมก็ของจริงเหมือนกัน”

81
0
คุยเปิดอกนายกฯ-“เศรษฐา-ทวีสิน”-มั่นใจ-“ผมก็ของจริงเหมือนกัน”

ครบ 112 วัน (3 ม.ค.2567) รัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เข้ามาขับเคลื่อนประเทศ มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะข้อกังขาถึงความเป็น “นายกฯตัวจริง” และตกอยู่ภายใต้เงาของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ต้องหาที่ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จริงหรือไม่

“รายการคุยนอกกรอบ โดย “สุทธิชัย หยุ่น” ชวนนายกฯนิด “เศรษฐา”มาเปิดอกคุย ทุกเรื่อง เป็นครั้งแรกจากอดีตซีอีโอเครือแสนสิริ นักธุรกิจหมื่นล้าน มาสู่เก้าอี้นายกฯบนตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล

ไม่มีเวลาฮันนีมูน เพราะ 3-4 เดือนแรกที่เข้ามาก็โหมโรงแล้ว ผมยังเป็น เศรษฐา คนเดิม แต่ความคิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แต่งเติม ปรับปรุงประเทศยังเหมือนเดิม แต่มันยากกว่าเดิม เหมือนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ เคยเตือนว่า มันไม่เหมือนเดิม เป็นคำตอบ หลังถูกถามว่า เศรษฐาในวันนั้นและวันนี้ต่างกันหรือไม่

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ด้วยความที่มาจากภาคธุรกิจ ไม่ได้หยั่งลึกเข้าใจเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน สิ่งที่แตกต่างในการตัดสินใจ คือ หากเป็นภาคธุรกิจ การตัดสินใจ ต้องผ่านการพิจารณาของบอร์ดหรือผู้ถือหุ้น แต่เป็นรัฐบาลมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง และมาเป็นนายกฯ ก็จะเห็นองค์ประกอบการทำงานที่แตกต่างกันไป

เช่น การแจกเงินดิจิทัล วอลเลต ยังไม่สามารถนับหนึ่งได้ เพราะยังไม่ได้รับคำตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกา หากรัฐบาลได้คำตอบชัดเจนแล้ว จึงจะเริ่มนับ 1 ได้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าว มีผู้ทักท้วง หลายฝ่าย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สุดท้ายนายกฯต้องตัดสินใจ โดยเอาประชาชนเป็นหลัก เวลาตัดสินใจ 10 เรื่อง ความคาดหวังประชาชน คือ ตัดสินใจต้องถูกทั้งหมด แต่มันเป็นไปไม่ได้ ทำไปแล้วความเสียหายอยู่ตรงไหน มีปัญหาเกิดขึ้นมีผลเสียอย่างไร หรือออกไปแล้ว นโยบายเพื่อคอรัปชั่น หาเสียงหรือไม่ ก็พูดลำบากว่า หาเสียงหรือช่วยประชาชน

Quick Win ย้อนเวลากลับไปจะใช้น้อยลง

“ผมยอมรับว่า มีปัญหาด้านการสื่อสาร พูดเร็วไป และไม่มีใครรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ถ้าเรารู้ว่า มีข้อบกพร่องก็ต้องนำไปแก้ไข และเป็นหน้าที่เราที่ต้องพัฒนาตัวเองให้เข้าใจสภาพแวดล้อม และวิธีการทำงานแบบใหม่”

เมื่อถูกถามเรื่องนโยบาย Quick Win ของรัฐบาลว่า ต้องมีการปรับโครงสร้าง หรือเรียงลำดับความสำคัญของนโยบายที่เร่งทำให้สำเร็จ เศรษฐา บอกว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ อาจจะใช้คำว่า Quick Win ให้น้อยลง เพราะบางอย่างต้องทำพร้อมๆกัน มีขั้นตอน ไม่ได้ทำเฉพาะระยะสั้น ยกเว้นระยะกลาง หรือระยะยาว เพราะ Quick Win ไม่ได้มีแค่ ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน หรือ แก้หนี้เกษตรกร เท่านั้น แต่ยังมีมาตรการระยะยาว เช่น เรื่องจีนประกาศยกเว้นวีซา มีการพูดคุยกับทูตจีน การแก้ปัญหา ความเหลื่อมล้ำ การท่องเที่ยว การยกระดับพาสปอร์ตไทย

หรือแม้แต่การสร้างสนามบินภูเก็ต การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ต้องทำ เวียดนามบอก ไทยเก่งเรื่องท่องเที่ยวให้เราช่วยพัฒนา และกระจายไปทั่วภูมิภาคอื่น ถือเป็นระยะกลางหรือระยาว แต่พอสื่อสารเร็ว ก็โดนอีก แต่ต้องอธิบายให้ได้ว่า ทำไมเร็ว หรือ ช้า นโยบายด้านต่างประเทศ เช่น Quick Win มาเลเซีย จะชัดเจนเห็นได้ว่า มีนักท่องเที่ยวเข้ามาหาดใหญ่ 3 หมื่นคน ทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทำเพื่อเอาเงินเข้าประเทศ เรื่องความมั่นคงดีขึ้น ฝ่ายความมั่นคงทำงานได้ดี การค้าชายแดนภาคใต้ดีขึ้น ทำให้เกิดความสงบทางด้านเศรษฐกิจ และถ้าทุกอย่างดีขึ้นจะมีความสงบตามมา

โรดโชว์“แลนด์บริดจ์”มั่นใจ คุ้มทุน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของไทย ไม่มีอะไรแน่นอน แต่มั่นใจว่า จะทำให้เศรษฐกิจโต 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องทำหลายทาง ทั้งเชิงการทูต บินเจรจาทุกประเทศ ลงนามบันทึกข้อตกลง แต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เพราะหากยังไม่ตอกเข็ม ก็ไม่แน่นอน … เรื่องที่รัฐบาลชุดที่แล้ว ทำไว้ดี ก็ยังต่อยอด

รวมทั้งการเจรจาปัญหาเรื่อง FTA , IUU , BRICS ซึ่งจะเดินหน้าทุกเรื่องหรือไม่ กำลังพิจารณา แต่อะไรทำได้คงทำไปก่อน เช่น ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร และนายภูมิธรรม เวชยชัย จะรับผิดชอบเรื่อง FTA โดยเร็วๆนี้จะมีการเจรจากับ ศรีลังกา และแอฟริกา ต่อเนื่อง ซึ่ง รมว.จากทุกพรรคที่ถูกเลือกเข้ามา ต้องแข่งกันทำงาน ไม่เช่นนั้น เราจะแข่งกับเวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ไม่ได้

สำหรับโครงการขนาดยักษ์ “แลนด์บริดจ์”ที่เดินสายออกไปขายทั่วโลก นายกฯ ยืนยันว่า มั่นใจว่าคุ้มทุน หากดูตามแผนที่โลก ถามว่า เกาะสุมาตราโค้งไปทางไหน เขาต้องการความเจริญ ผู้ที่จะมาร่วมทุนจะคุ้มทุน ทุกหน่วยงานในหลายๆประเทศได้มีการศึกษาเรื่องการจะเข้ามาลงทุน หากดูตามพื้นที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย จีน ซาอุดิอารเบีย ยูเออี ก็มั่นใจ

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงานจะเดินทางไปหารือกับประเทศซาอุฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งฝ่ายค้านเคยถามมาว่า โครงการนี้ คนระนองอยากได้หรือเปล่า ก็ต้องถาม แต่การแข่งขันของโลก การคิดโครงการ ต้องมีขั้นตอนการทำงาน แต่หากไปถามตรงนั้นก่อน กว่าจะออกมาอีกกี่ปี หากจะใช้เวลา 6 เดือน แบบทุบโต๊ะก็ทำไม่ได้ เพราะมันใช้เวลานานมาก

“เราไม่ได้อยู่ในโลกคนเดียว เราอยู่ในโลกของการแข่งขัน หากเราเผลอ เทสลาและไมโครซอฟ ไปที่อื่นแล้ว เราได้เปรียบเรื่องพลังงานสะอาด ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า เรื่องสุขภาพ เขาได้เปรียบอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องแข่งกัน ไทยประชากรไม่เยอะ หรือมีคน 1,300 ล้านคน เหมือนอินเดีย หรืออินโดนีเซีย การย้ายฐานการผลิต เขาไม่ได้ย้ายแค่มาขายของให้คนไทย ต้องการใช้เราเป็นฐานผลิตในการส่งออก หากเรามีท่าเรือแหลมฉบังเฟส 1,2, 3 ดีเลย์ไป ก็ต้องไปขันน็อต เพื่อเดินทางให้ได้เร็วๆ การขนถ่ายสินค้าของโลก คนบอกว่าสิงคโปร์มาแน่นอน แต่เขาก็ไม่เห็นโวย”

เมื่อถามว่า ได้คุยกับ ลีเซียนลุง นายกฯสิงค์โปร์หรือไม่ เศรษฐาตอบทันทีว่า “ ….ไม่จำเป็นต้องคุยกับ ลี เซียนลุง เขาก็รู้มูลค่าสินค้า การขนถ่ายสินค้าผ่านช่องแคบมะละกา มันมากขนาดไหน การขนส่งสินค้าเปลี่ยนแปลงตลอด ไม่ต้องห่วง อย่างไรก็ต้องพูดคุยกัน ส่วนการศึกษาเรื่องแลนด์บริดจ์ และระเบียงพัฒนาเศรษฐกิจใต้ ก็จะต้องทำควบคู่กันไป และทาง 3 จังหวัดชายแดนใต้จะมีเกาะเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะทำร่วมกับมาเลเซีย ไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหารสูง สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของฮาราล หากเราสร้างโรงงานผลิตอาหารแล้วส่งไปขายในทวีปที่มีการเจริญเติบโตของประชากร เช่น แอฟริกาได้”

สำหรับการแก้ปัญหาด้านพลังงาน นายกฯ กล่าวว่า พร้อมช่วยสนับสนุนนายพีระพันธุ์ รมว.พลังงาน ในการรื้อและการปรับโครงสร้างพลังงาน แม้จะถูกต่อต้านจากกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ หรือพวกรากงอก ต้องยอมรับว่า ในทุกธุรกิจจะมีรายใหญ่ ได้ประโยชน์ อาจไม่ได้มีเรื่องทุจริต แต่แบบอยู่มานานสบาย ขณะที่เราก็มีตัวแปรจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ไปเปิดความสัมพันธ์กับซาอุดิอาเบีย ซึ่งช่วยสร้างเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน

หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (overlapping claims areas – OCA) อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้หารือกับ “ฮุนมาเนต”นายกรัฐมนตรีกัมพูชาแล้ว ก็เข้าใจกันว่า ไทยต้องหาทางพัฒนากับร่วมกับกัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อน และเรื่องอีโคโนมิคแชร์ริ่ง เพื่อทั้งสองประเทศก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ก็ต้องมีการเจรจากับเมียนมาร์ด้วย

ขอให้เวลาพิสูจน์ “อยู่ใต้เงาใคร”หรือไม่

“เรื่องขาใหญ่ รายใหญ่ ผมไม่ได้สนใจ ผมเกรงใจประชาชนมากกว่า…ผมไม่เปลี่ยน แต่ความคาดหวังและสปีดในการทำงาน องค์ประกอบในการทำงานต่างกัน ผมมั่นใจว่า ผมก็ของจริงเหมือนกัน”

ที่ผ่านมามักจะมีคำถามว่า ”เศรษฐา” เป็นนายกฯ ตัวจริงหรือไม่ และต้องคอยฟังคำสั่ง ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ คำตอบที่ได้รับ คือ

“ผมตัดสินใจเองตลอดเวลา ส่วนมากตัดสินใจเร็วเกินไป ปากไวบ้างอะไรบ้าง ก็เป็นตัวตนของผม หากจะดูให้ครบองค์ประกอบ ต้องดูจากเหตุการณ์ทั้งหมด ไปถามรัฐมนตรีร่วมพรรค ต่างพรรคดูซิว่า ผมเป็นตัวของตัวเองหรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ยังไงจะถูกด้อยค่าและพูดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา… หากจะถามว่า ผมมายังไง ผมเสนอตัวมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ

มื่อถูกตั้งคำถามต่อว่า เงาของทักษิณ จะอยู่หลังเศรษฐาตลอดไป ? “…โอ้ย ผมเจอหลายคนก็ปรึกษา คุณอานันท์ ผมก็ปรึกษา และต้องไปถาม”ทักษิณว่า”ตนได้ปรึกษาบ้างหรือไม่ ส่วนกรณี “ทักษิณ”จะพ้นโทษหรือไม่นั้น ก็ไม่ทราบเพราะขึ้นอยู่กับกระบวนการ และนายกฯก็ไม่ทราบทุกเรื่อง เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์เป็นผู้รับผิดชอบ

และยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นที่เพ่งเล็งของประชาชนโดยเฉพาะเสียงวิพากษ์ของความเท่าเทียม และนายทักษิณก็มีสิทธิจะป่วยและต้องเข้าใจขั้นตอนของกระบวนการทางการแพทย์ และกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาพูดกันตลอดว่า จะออกวันนั้นวันนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ออก ตนเองก็ไม่ทราบ เพราะยังมีเรื่องความประพฤติของนักโทษด้วย นอกจากนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องอยู่บนมาตรฐานเดียวกันหมด

หลังจาก “ทักษิณ” ออกมาแล้วความสัมพันธ์ของศูนย์อำนาจจะเป็นอย่างไร นายกฯกล่าวว่า ไม่เคยเข้าไปบ้านจันทร์ส่องหล้าของนายทักษิณที่ย่านฝั่งธนบุรี แต่เคยไปที่บ้านรามอินทรา

ส่วนแพทองธาร ชินวัตร พบกันทุกวันอังคารที่มีประชุมพรรคและประชุมยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตามยืนยันว่า นายทักษิณไม่เคยเป็นปัญหากับการเป็นนายกของตน และตนสามารถบริหารจัดการและทำหน้าที่นายกฯได้อย่างสง่างาม

“… ไม่เคยปฏิเสธว่ามีทรัพย์สิน ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ มีลูกน้องพอประมาณ ลูกมีก็ทุกอย่าง ความเป็นห่วงเรื่องอื่นๆเพลาลงเยอะ ลูกสาวถือหุ้นไปก็ไม่มีอะไร มีเงินพอที่จะอยู่ไปได้ตลอด ที่ตัดสินใจมา ไม่ได้ต้องการสร้างก๊วน ก๊ก เหล่า สิ่งที่จะทำให้เดินไปข้างหน้าได้ คือผลงานที่ต้องทำออกมา ก็ชัดเจนว่า ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและส่งต่อชีวิตที่ดีให้กับลูกหลาน หรือ บริษัทแสนสิริเอง ที่ลูกสาวผมถือหุ้นอยู่ ก็ไม่มีอะไร ผมก็มีเงินพอที่จะอยู่ได้อย่างสบายๆ อยู่ได้ไปตลอด ลูกผมเองก็มีความรู้ความสามารถ อยู่เมืองนอกเงินเดือนก็เยอะแยะ”

เศรษฐา ยอมรับว่า ได้แจ้งป.ป.ช.จริงว่าลูกให้เงินใช้ปีละ 20 ล้านบาท และมีจุดมุ่งหมายเดียวจากนี้ไปอีก 4 ปี คือ ยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เป็นคำที่กว้าง และส่งผลต่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกหลาน ในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ สิทธิเสรีภาพในการเลือก ไม่ว่าจะเลือกเพศสภาพ เลือกคำนำหน้า ไม่ว่าจะเป็นการเลือกประกอบอาชีพ หรือว่าสิทธิพื้นฐานอย่างเช่น อากาศสะอาด ก็จะพยายามทำอย่างเต็มที่

ถ้าพยายามทำตรงนี้ได้ ทำให้ ประเทศไทยมีการพัฒนา มีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตได้ เฉลี่ย 5% มีศักดิ์ศรีบนเวทีโลก พาสปอร์ตไทย มีการถูกยกระดับขึ้นมา สนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศดีขึ้น มี FDI ที่ดีขึ้น ที่บริษัทใหญ่ๆ มาลงทุน ถือว่า ถ้าครบ 4 ปี แล้ว ถ้ามีการเลือกตั้งจะลงอีก หรือไม่ลงอีก จะได้ไม่ได้ อยู่ที่ผลงาน สมมติพรรคเพื่อไทย ชนะขึ้นมาเลือกตน เลือกนาย ก เลือก นาง ข ขึ้นมาก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าแพ้ขึ้นมา ก็เชื่อว่า ความตั้งใจและสิ่งที่ทำมา จะแพ้หรือชนะก็อยากที่จะเดินในสังคมได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี นี่คือ ความตั้งใจจริงๆ ไม่ได้มีอย่างอื่น

ส่วนจะมีเหตุอื่นอันใดที่จะทำให้อยู่ไม่ครบ 4 ปี แล้วมีการเปลี่ยนนายกฯคนใหม่เป็น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร นั้น นายกฯเศรษฐา กล่าวว่า ไม่คิดเรื่องนี้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นอาชีพ ไม่ใช่ ไม่แคร์ ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่ใช่ว่าเราทำอะไรไม่ดี หรือ มีคนอื่นทำดีกว่า มีอยู่ 2 อย่าง คือ ขอให้เป็นไปตามกลไกของบ้านเมือง เป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น

“ไม่กังวลว่าใครจะเป็นนายกฯ สิ่งที่กังวลมากกว่า คือ กฤษฎีกาจะมีคำตอบเรื่องดิจิทัล วอเล็ต อย่างไร หรือ ทำไมอินเดียถึงยังไม่เพิ่มสลอตบินให้เรา ผมกังวลมากกว่า  ผมไม่ได้ imply ว่าใครเป็นผีนะ คือ ผมไม่อยากกลัวผี ผมอยู่กับความเป็นจริง กลัวมันก็ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเมื่อไหร่ ไม่กลัว ถ้าเกิดคุณสุทธิชัยอยู่ คุณแพรทองธารอยู่กับผม มันชัดเจน เหมือนที่ท่านพูดใน publish และคุณแพทองธารเป็นคนที่ให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ เข้าใจว่าแต่ละคนมีหน้าที่ที่ต้องทำอะไร”นายกรัฐมนตรี กล่าว

ติดตามบทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟ กับ “สุทธิชัย หยุ่น” @suthichai ที่จะชวนทุกคนมาคุยลึก คุยคม คุยกันนอกกรอบเดิม ๆ กับบุคคลสำคัญทางการเมือง และเหล่าผู้นำทางความคิดของไทย ในแบบที่คุณยังไม่เคยได้ฟังที่ไหนมาก่อน

ในรายการ คุยนอกกรอบ ทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลา 21.30 น. เริ่ม 4 ม.ค.67 นี้ ทางไทยพีบีเอส ช่องหมายเลข 3 และช่องทางออนไลน์

ชมสด https://www.thaipbs.or.th/live  

ชมย้อนหลัง www.thaipbs.or.th/TalkOutOfTheBox

และทางโซเชี่ยลมีเดีย

Facebook : www.facebook.com/ThaiPBS
YouTube : www.youtube.com/@ThaiPBS
X : www.twitter.com/ThaiPBS
TikTok : www.tiktok.com/@thaipbs

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ มอบคําขวัญวันเด็ก ปี 2567 มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ สร้างประชาธิปไตย

เปิดห้องนอนนายกฯ “เศรษฐา” ณ “บ้านนรสิงห์” ฤกษ์ค้างคืน 7 ม.ค.

“เศรษฐา” ร่ายยาวแจงใช้งบปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท

จับกระแสการเมือง : วันที่ 2 ม.ค.2567 ก้าวไกล-ปชป.ชำแหละงบปี 67 “เพื่อไทย” บ่ยั่น ขอแค่ห้ามแตะ “ทักษิณ”

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่