วันนี้ (1 มี.ค.2567) นายสรยุทธ ชาสมบัติ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ถือว่าที่ดีมาก และจะครบ 50 ปีในปีหน้า
ขณะเดียวกันชาวไทยและชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังมีปฏิสัมพันธ์กันที่ดี โดยชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเที่ยวเมืองไทย ประมาณ 1.5 แสนคนต่อปี รวมถึงเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ไทยด้วย
ส่วนปริมาณชาวไทยที่เดินทางเข้าประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อยู่ที่ราวหลัก หมื่นถึงหลักแสนเช่นกัน โดยมีแรงงานไทยทำงานที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวนหลักหมื่น ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศจึงค่อนข้างดี แต่ขณะนี้พยายามผลักดันความสัมพันธ์ในทุกมิติ โดยการแลกเปลี่ยนพบปะกันระหว่างบุคคลระดับสูง
สำหรับการค้าขายระหว่างกันไทยพยายามส่งสินค้าเข้ามายังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในหลากหลายประเภททั้ง อาหาร ยานยนต์ อะไหล่ อิเล็กทรอนิกส์ โดยตัวเลขการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่ที่เฉียด 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือว่าสูงมาก หากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในแถบนี้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จึงถือว่าเป็นคู่ค้า อันดับ 1 ของไทยในแถบตะวันออกกลาง ดังนั้นไทยจึงจะใช้นำเริ่มจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนจะเข้าไปสู่ประเทศในกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ Gulf Cooperation Council (GCC) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กาตาร์ และบาห์เรน รวมทั้งในแอฟริกาด้วย
เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี ยังระบุว่า ในอนาคตอาจจะมีการหารือเรื่องฟรีวีซ่า สำหรับคนไทยที่เข้ามาสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเป็นสิ่งหนึ่งที่จะสามารถพูดคุยกันได้ เนื่องจากชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องมีวีซ่า ขณะที่ชาวไทยที่เดินทางเข้าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะต้องขอวีซา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า การขอวีซาจะสะดวกในหลายรูปแบบ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็สามารถที่จะพูดคุยตรงนี้ ให้คนไทยได้ประโยชน์จากการเดินทางโดยไม่ต้องมีวีซา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองเห็นด้วยที่อยากเห็นพาสปอร์ตไทย มีอำนาจในการที่จะเดินทางไปประเทศต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์การค้าการลงทุน และเกียรติศักดิ์ของประเทศไทย
อ่านข่าวอื่น ๆ
