‘กมธ.นิรโทษกรรม’ ขีดเส้นเริ่มนับคดีตั้งแต่ 1 ม.ค. 2548-ปัจจุบัน วางเกณฑ์ต้องมี ‘เหตุจูงใจทางการเมือง’ เป็นตัวตั้ง สัปดาห์หน้าเล็งเชิญ ‘สุริยะใส-ณัฐวุฒิ-ภัสราวลี-iLaw’ เข้าให้ข้อมูล
วันที่ 7 มี.ค. ที่อาคารรัฐสภา ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม กล่าวภายหลังการประชุมว่า การประชุมวันนี้ มีมติว่าในสัปดาห์หน้าจะเชิญบุคคลที่ส่วนใหญ่มีบทบาทสำคัญ ในเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งเราจะจำเป็นต้องทราบว่า เขามีความจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น มีการกระทำอะไร และคดีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
โดยในการประชุมวันที่ 14 มี.ค. ที่จะถึงนี้ จะมีการเชิญบุคคลดัง ได้แก่
1. ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
2. ถาวร เสนเนียม อดีต ผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
3. ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชน
4. สุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
5. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, กลุ่มโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
ส่วนเรื่องกระบวนการพิจารณาของกรรมาธิการฯ นั้น ได้ข้อยุติว่า จะเริ่มนับเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2548 จนถึงปัจจุบัน เพื่อจำกัดขอบเขตหน้าที่ว่า จะพิจารณาเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงจะต้องดูว่าการกระทำในช่วงเวลานั้น มีการกระทำอะไรบ้าง มีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เกิดขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจะเป็นตัวที่บ่งบอกว่า ทางการเมืองเกิดความขัดแย้งทางการเมืองอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งได้มอบให้ นิกร จำนง เลขาธิการ กมธ. เป็นผู้รวบรวมข้อมูล
ทั้งนี้ ในการประชุมครั้งต่อไป วันที่ 14 มี.ค. จะเป็นการรับฟัง และในวันที่ 21 มี.ค. จะเป็นการพิจารณาข้อมูลในส่วนนี้ ส่วนกรณีความผิดตามกฏหมายอาญามาตรา 112 ยังไม่มีการพิจารณาในขณะนี้
ด้าน นิกร กล่าวในฐานะประธานคณะอนุกรรมมาธิการพิจารณาข้อมูลและสถิติคดีความผิด อันเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง ระบุว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือขอข้อมูลคดีทางการเมืองราว 50,000 คดี รวมถึงคดีที่เกิดขึ้นหลังปี 2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันได้ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำนักงานศาลยุติธรรม และศาลทหารด้วย เพื่อนำข้อมูลมารวมกัน และจำแนกเหตุการณ์เพื่อตัดสินใจ ก่อนเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
นิกร กล่าวต่อไปว่า อนุกรรมาธิการจะรวบรวมคดีที่มีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมืองซึ่งเป็นศัพท์ทางเทคนิคที่ใช้ในหลายกรรมาธิการและหลายประเทศ ซึ่งเป็นคำที่สำคัญ พร้อมยกตัวอย่างว่า สมัย นปช. หรือกลุ่มพันธมิตรฯ มีแรงจูงใจที่ต่างกัน แต่ก็จัดเป็นแรงจูงใจทางการเมืองเหมือนกัน ซึ่งจะนำมาพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปต่อไป
อย่างไรก็ตาม นิกร ย้ำว่า ตอนนี้จะยังไม่พิจารณาว่าคดีใดที่จะไม่เข้าข่ายนิรโทษกรรม เพียงแต่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดในแต่ละช่วงเวลา แล้วนิยามว่ามีมูลเหตุจากแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่ โดยเอาเหตุการณ์เป็นตัวตั้ง โดยไม่เอาตัวบุคคลผู้กระทำเป็นตัวตั้ง