คุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกเป็น สว.
- มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
- อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ในวันที่สมัครรับเลือก
- มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี ไม่นับรวมกลุ่มที่ 8 คือ กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น ประชาสังคม องค์กรสาธารณประโยชน์
- ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- เกิดในอำเภอที่ลงสมัครรับเลือก
- มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของอำเภอที่ลงสมัครรับเลือก เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีนับถึงวันที่สมัคร
- เคยทำงานอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือก เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีนับถึงวันที่สมัคร
- เคยทำงานหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือก แล้วแต่กรณี เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี
- เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา
26 ลักษณะต้องห้ามผู้สมัครรับเลือกเป็น สว.
- ติดยาเสพติดให้โทษ
- เป็นบุคคลล้มละลาย หรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
- เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
- เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
- อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่
- วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
- อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราว หรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
- ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
- เคยได้รับโทษจำคุก โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกในระดับอำเภอ ยกเว้นความผิดที่กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
- เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริต หรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
- เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือ ต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด การพนัน การค้ามนุษย์ หรือการฟอกเงิน
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
- อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
- เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
- เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือ การกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย
- เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่า เป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
- เป็นข้าราชการ
- เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็น สส. มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือก
- เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
- เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เว้นแต่ได้พ้นจากการดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือก
- เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรี เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือก
- เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือก
- เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตร ของผู้ดำรงตำแหน่ง สส. สว. ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ในคราวเดียวกัน หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดในศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ
- เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ
20 กลุ่มอาชีพอะไรบ้างที่สมัคร สว. ได้
- กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง เช่น อดีตข้าราชการ อดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ
- กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ หรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย
- กลุ่มการศึกษา เช่น เช่น ผู้เป็นหรือเคยเป็นครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษา
- กลุ่มการสาธารณสุข เช่น แพทย์ทุกประเภท พยาบาล เภสัชกร
- กลุ่มอาชีพทำนา ปลูกพืชล้มลุก
- กลุ่มอาชีพทำสวน ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง
- กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคล ซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน
- กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมาย (SME) และ ผู้ประกอบกิจการอื่นๆ
- กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่นนอกจากข้อ (9)
- กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการหรือพนักงานโรงแรม
- กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตรกรรม หรืออื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
- กลุ่มสตรี
- กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น
- กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง
- กลุ่มประชาสังคม องค์กรสาธารณประโยชน์
- กลุ่มนักกีฬา สื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม
- กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- กลุ่มอื่นๆ
อ่าน : จะเป็น สว. ต้องทำอย่างไร ?
ครั้งแรกประวัติศาสตร์ “เลือกกันเอง” การได้มาซึ่ง สว.ชุดที่ 13
หากย้อนดูประวัติศาสตร์การได้มาของ “สภาสูง” หรือสมาชิกวุฒิสภาของประเทศไทยนั้น พบว่าตั้งแต่ สว.ชุดที่ 1 มาจากการ “เลือกตั้งทางอ้อม” ต่อมา สว.ชุดที่ 2-7 มาจากการ “แต่งตั้ง” สว.ชุดที่ 8 และ 9 ใช้วิธีการ “เลือกตั้ง 100%” ส่วน สว.ชุดที่ 10 และ 11 ใช้การ “เลือกตั้งผสมสรรหา” จนกระทั่ง สว.ชุดที่ 12 ที่กำลังจะหมดวาระในเดือน พ.ค.2567 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะ คสช. จำนวน 250 คน
เมื่อหมดวาระลงแล้วนั้น สว.ชุดที่ 13 จะใช้วิธีการ “ผู้สมัครเลือกกันเอง” ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ สว.ไทย และเมื่อลงลึกในรายละเอียกพบว่า เป็นวิธีการที่ซับซ้อนมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ระดับอำเภอ-จังหวัด-ประเทศ มีขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนการเลือกในระดับอำเภอ (มาตรา 40)
- เริ่มด้วยการเลือกกันเองภายในกลุ่มที่ผู้สมัครฯ ก่อน โดยเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 2 คน สามารถลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกิน 1 คะแนน
- ผู้ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม
- แต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกแบ่งออกตามสาย แบ่งออกไปไม่เกิน 4 สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน
- ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม จะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน กลุ่มละ 1 คน ห้ามเลือกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเองในขั้นนี้
- ผู้ได้คะแนน 3 ลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกในระดับอำเภอสำหรับกลุ่มนั้น และเข้าสู่การเลือกต่อในระดับจังหวัด
ขั้นตอนการเลือกในระดับจังหวัด (มาตรา 41)
- ผู้ได้รับเลือกระดับอำเภอแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 2 คน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกิน 1 คะแนน
- ผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ให้ถือเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม
- แต่ละกลุ่มเมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มแล้ว จะถูกแบ่งออกตามสาย ไม่เกิน 4 สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน
- ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกตั้งขั้นต้นของกลุ่มอื่น ที่อยู่ในสายเดียวกัน ห้ามเลือกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเอง
- ผู้ได้รับคะแนนสูงสุดสองลำดับแรกของแต่ละกลุ่ม จะถือว่าได้รับเลือกในระดับจังหวัดของกลุ่มนั้น และเข้าสู่การคัดเลือกในระดับประเทศต่อไป
ขั้นตอนการเลือกในระดับประเทศ (มาตรา 42)
- ผู้ได้รับเลือกระดับจังหวัดแต่ละกลุ่ม ลงคะแนนเลือกกันเองภายในกลุ่ม ซึ่งจะเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันได้ไม่เกิน 10 คน โดยจะลงคะแนนให้ตัวเองก็ได้ แต่ไม่สามารถลงคะแนนให้ผู้ใดได้เกินหนึ่งคะแนน
- ผู้ได้คะแนนสูงสุด 40 อันดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถือเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งขั้นต้นของแต่ละกลุ่ม ในขั้นนี้หากแต่ละกลุ่มได้ไม่ครบ 40 คน ก็ถือตามจำนวนเท่าที่มี แต่จะน้อยกว่า 20 คนไม่ได้ โดยผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับประเทศจะจัดให้ผู้ที่ไม่ได้รับเลือก ซึ่งยังอยู่ ณ สถานที่นั้น เลือกกันเองในกลุ่มจนกว่าจะได้จำนวนอย่างต่ำ 20 คน
- แต่ละกลุ่ม เมื่อได้ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นแล้ว จะถูกแบ่งออกตามสาย แบ่งออกไม่เกิน 4 สาย และให้มีจำนวนกลุ่มเท่าๆ กัน
- ผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของแต่ละกลุ่มจะต้องเลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มอื่นในสายเดียวกัน กลุ่มละไม่เกิน 5 คน ห้ามเลือกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันหรือเลือกตนเอง
- ผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 10 อันดับแรกของแต่ละกลุ่ม (20 กลุ่ม คูณ 10 คน = 200 คน) เป็นผู้ได้รับเลือกเป็น สว. สำหรับกลุ่มนั้น และผู้ที่ได้ลำดับที่ 11-15 จะเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีสำรองของกลุ่มนั้น
อ่าน : เปิดรายรับ-ค่าใช้จ่าย ส.ว. 1 คนใช้เงินเท่าไร?
เป็น สว.ชุดใหม่ ทำอะไรได้บ้าง
- พิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ สว. มีบทบาทในการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องรวบรวมรายชื่อ สส. เพื่อเสนอร่วมกัน สว. เพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้
- พิจารณากฎหมาย สส. มีอำนาจหลักพิจารณากฎหมาย สว. อำนาจน้อยกว่า แต่ถ้าพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ สว. อำนาจเท่า สส.
- ให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่ง ศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในหน่วยงานรัฐ
- ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
- คณะกรรมการการเลือกตั้ง 7 คน
- ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน
- คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 9 คน
- คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 7 คน
- ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
- คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน7 คน
- ตรวจสอบฝ่ายบริหาร ส่งต่อปัญหาประชาชนให้ดำเนินการแก้ไข
ที่มา : คณะกรรมการการเลือกตั้ง, วุฒิสภา