อยู่ใต้ดวงอาทิตย์ ใยต้องกลัวความร้อน หลังวานนี้ (12 มี.ค.2567) พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น.เข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจระดับสูง ในความผิดฐาน สมคบกันกระทำความผิด ฐานฟอกเงินและ เป็นเจ้าพนักงานร่วม กันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 10
เมื่อผลการสืบสวนสอบสวนเส้นเงิน ที่เชื่อมจาก คดีที่ สน.เตาปูน เคยขออนุมัติหมายจับ คดีเว็บการพนัน ที่ 4543-4547/2566 ของศาลอาญา ต่อมาได้จับกุมตัวผู้ ต้องหาบางคนได้ และมีนางพิมพ์ (นามสมมุติ) เป็นผู้จัดการเว็บ BNKMaster จึงขยายผลและร้องขอออกหมายจับตำรวจ 3 นาย
หนึ่งในจำนวนนั้น มีชื่อของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ คือ “บิ๊กโจ๊ก”หรือพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.รวมอยู่ด้วย พร้อมทั้ง พลเรือน 1 นาย คือ ณพรรษกร แหเกิด หรือ “เสี่ยอู๊ด สงขลา”
หมัดสวนไม่ยั้ง ยังไม่ทันข้ามวัน “บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่ง “วราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ” ทนาย ความตั้งโต๊ะแจงทันที เฉพาะในส่วนของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า ศาลไม่ออกหมายจับให้ เนื่องจากศาลมีดุลพินิจว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอต่อการออกหมายจับ ศาลจึงยกคำร้อง และศาลไม่ได้ออกหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
“อำนาจการไต่สวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผิดหรือไม่อยู่ที่ ป.ป.ช. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 30 ประกอบมาตรา 28 ขอยืนยันว่า อำนาจในการสอบสวนเรื่องนี้อยู่ที่ปปช. ไม่ได้อยู่ที่พนักงานสอบสวน หากยังดำเนินการเรื่องนี้ ทางทีมทนายมองว่าพนักงานสอบสวนอาจจะเข้าข่ายในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157 หรือไม่ และพนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบกันเอง” วราชันย์ แถลงช่วงเย็นวาน
แต่เรื่องยังไม่จบ นับศพใครไม่ได้ วันนี้ (13 มี.ค.2567) “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ มาในมาดนิ่มๆ ตอบยาวๆ แต่ได้ใจความสั้นๆว่า ไม่กังวลและยังทำงานตามปกติ เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเพราะไม่ได้มีความผิด
…เมื่อวานนี้ศาลเพิกถอนหมายจับ และยังไม่ได้มีการออกหมายเรียกใด ๆ ทั้งสิ้น และยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยขอเดินหน้าทำงานของตัวเอง เอาเวลามาคิดมาทำงานเพื่อตำรวจเพื่อองค์กร ก่อนย้ำว่า การปราบปรามจับกุมที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ใด ๆ
อ่านข่าว พร้อมสู้คดี! 2 ลูกน้องบิ๊กโจ๊กเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวน
ขณะที่ข้อมูลอีกด้านจากฝ่ายสืบสวน ระบุว่า พบหลักฐานมีการใช้เงินใน”บัญชีม้า” โอนเข้าวัดทำบุญในงานกฐินหลวงที่วัดแห่งหนึ่งในจ.พระนครศรีอยุธยา และมีบุคคลเกี่ยวข้องเข้าไปช่วยขายทองคำแท่ง น้ำหนักรวม 11,000 บาท ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์- มีนาคม 2563 ให้กับห้างทองชื่อดังย่านเยาวราช เป็นทองคำน้ำหนัก 3,000 บาท
และครั้งนั้นได้เงินไปถึง 74 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ยังพบว่า มีบุคคลใกล้ชิดได้นำทองไปขายเองอีก 3-4 ครั้ง และได้เงินไปถึง 249 ล้าน ออกมาแฉกันรัวๆ กรมปทุมวันเละยิ่งกว่าเละกันไปใหญ่
สุดท้ายไม่ว่า สิ่งใดจะเกิดขึ้น ก็ขึ้นอยู่ที่การชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และคำตัดสินของศาล ที่คาดว่ายังอีกยาวนาน และยาวไกล ดังนั้น ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา ตามกฎหมายทั้งหมด ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
ดูเหมือนว่า เส้นทางของ “บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และพรรคก้าวไกล แทบจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แผลเหวอะหวะ เต็มตัว แต่ก็ต้องสู้กันต่อแบบยาวไป…
อนาคตไกล ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องเกิดคาด ก่อนหน้านี้จึงมีผู้ไปขอยื่นจดทะเบียนพรรคกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในชื่อ “อนาคตไกล” ตั้งแต่เดือนส.ค.2566 เสมือนพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล จะทราบชะตากรรมล่วงหน้า
หลังกกต.มีมติเอกฉันท์ส่งสำนวนคดีล้มล้างการปกครองให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล แม้ “ต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล บอก ต้องสู้เต็มที่ แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะทำให้ต่อสู้ได้ยากมากกว่าในคดีอื่น ๆ
“ คำวินิจฉัยครั้งที่แล้ว เป็นกรณีที่วินิจฉัยสั่งการให้พรรคก้าวไกลยุติการกระทำที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง แต่การวินิจฉัยให้ยุบพรรคก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ
ยังไม่มีคำตัดสินจากศาลรัฐธรรมนูญว่า จะยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ แต่บรรดานักวิเคราะห์การเมือง ต่างออกมาฟันธงว่า หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง จะมีกรรมการบริหารพรรคฯที่ถูกตัดสิทธิ ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิกพรรค นายทะเบียนสมาชิกพรรค และกรรมการบริหารพรรคอื่น ๆ รวม 10 คน
โดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลในช่วงที่มีการยื่นแก้ไข มาตรา 112 คือ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค, “ต๋อม” ชัยธวัช เลขาธิการพรรค ,ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค , ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตรตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค ,” หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา กก.บห.สัดส่วนภาคเหนือ ,
สมชาย ฝั่งชลจิตร กก.บห.สัดส่วนภาคใต้ , “เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กก.บห.สัดส่วนภาคกลาง ,เบญจา แสงจันทร์ กก.บห.สัดส่วนภาคตะวันออก ,อภิชาติ ศิริสุนทร กก.บห.สัดส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ สุเทพ อู่อ้น กก.บห.สัดส่วนปีกแรงงาน
ส่วนการตัดสิทธิ์ทางการเมืองจะเป็นเวลากี่ปีนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ศาลฯได้วางแนวทางไว้เป็นเวลา 10 ปี และจะลามมาถึงคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ที่มี “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา หากเห็นว่ายังมีพฤติกรรม ความเคลื่อนไหว ที่สนับสนุนการแก้ ม.112
แต่กว่าจะถึงขั้นตอนดังกล่าว คาดว่าคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี
เลือดเข้าตา “ลอรี่” พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว เชือดเฉือนตอนหนึ่งว่า …รอบนี้ ”อำนาจมันเข้าตา“ เต็มๆ พรรคก้าวไกล กำลังจะมีการยื่นญัตติด่วนต่อสภา “กมธ.ศึกษาอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งรทสช.ตอบชัดแล้วว่า ไม่เอาด้วย เป็นการใช้อำนาจก้าวล่วง “อำนาจตุลาการ” เพราะศาลถือเป็นส่วนนึงในอำนาจอธิปไตยหลัก 3 อย่างที่แบ่งออกจากกัน อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ..ไม่มีสิทธิล้ำเส้นซึ่งกันและกัน
“ลอรี่” ย้ำว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของกลุ่มล้มล้างอำนาจนิยม ที่เคยทำพฤติกรรมเช่นนี้ เมื่อ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา คนของฝั่งล้มล้าง ที่เป็นถึงรองประธานสภาบุกไปถึงทำเนียบ เพื่อใช้อำนาจบาตรใหญ่ กดดันฝั่งบริหารมาก่อน แบบที่ไม่เคยมีในหน้าประวัติศาสตร์ไทย
นอกจากนี้ ยังเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เนื่องจากปัจจุบันพรรคก้าวไกลถูก กกต.ส่งคำร้องยุบพรรคไปที่ศาลรธน. ซึ่งการรีบใช้อำนาจนิติบัญญัติเข้าไปตรวจสอบแบบ เข้าข่ายผิดเพราะใช้พื้นที่สภาที่ควรนำไปแก้ปัญหาประชาชน มาแก้ปัญหาของพรรคตัวเอง
นี่คือที่มาของ “ว่าแต่เขา แต่อิเหนาเป็นหนักกว่า” คือ เกลียดอำนาจนิยม แต่มาเป็นอำนาจนิยม2.0 ซะเอง
สั่นสะเทือนทุกวงการทั้งสีกากีและการเมือง..แต่นั่นแหละ อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ใยต้องกลัวความร้อนแผดเผา
อ่านข่าวอื่นๆ
ศึกขัดแย้ง “คน-ช้างป่า” 12 ปียังไม่จบ ระยะทางอีกยาวไกล
1 ปี “วัคซีนทำหมันช้าง” ไปไม่ถึงฝัน ติดขั้นตอนอนุญาตนำเข้า
ก้าวต่อไป! “พิธา” โพสต์สื่อความหมายหลัง กกต.ชงมติยุบก้าวไกล
