วันนี้ (22 มี.ค.2567) เป็นวันที่ 3 ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานตลอดทั้งวัน เนื่องจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาและนายปดิพัทธ์ สันติธาดา รองประธานสภาฯ ติดภารกิจต่างประเทศ
การอภิปรายเริ่มที่มาตรา 27 งบประมาณของส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วงแรก สส.พรรคก้าวไกล อภิปรายงบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งการเช่าซื้อรถ ค่าน้ำมัน อาวุธหนักและรถปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม (จีโน่) โดยมองว่าไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย ขณะที่กรรมาธิการยืนยันว่า ตัดไม่ได้ เพราะทำสัญญาซื้อขายไปแล้ว แต่เมื่อลงมติในท้ายที่สุด ที่ประชุมเห็นชอบตามกรรมาธิการเสียงข้างมากปรับลดงบฯ ลงกว่า 500 ล้านบาท
ส่วนการพิจารณา มาตรา 30 งบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานของรัฐสภา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายงบอาหารมื้อเย็นของ สส.และกรรมาธิการ ระบุว่า ปัจจุบันราคาอาหารต่อหัวต่อคนตกวันละ 1,000 บาท หรือปีละ 100 ล้านบาท แต่ช่วงเย็นของวันประชุมจะมีอาหารเหลือกองอยู่บนโต๊ะสมาชิกทุกครั้ง ซึ่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 อยากให้เข้าใจว่าเรื่องอาหารหากเหลือก็นำกลับบ้าน เป็นเรื่องที่ต้องทำแบบนี้ต่อไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับประทานอาหารหากประชุมที่เลิกดึก
“จิรัฏฐ์” อภิปรายบี้ “งบศาล” ขอปรับลด 10%
สำหรับมาตรา 31 งบหน่วยงานของศาล กรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติปรับลด 36 ล้านบาท ซึ่งนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล อภิปรายขอปรับลด 10% ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีโครงการส่งคนไปเรียนตามหลักสูตรต่างๆ เช่น พตส. วปอ. ขณะที่หน่วยงานเหล่านั้นได้ผลัดกันส่งคนมาเรียนที่ศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนเป็นการผลัดกันเกาหลัง
นอกจากนี้ยังมีงบเสริมสร้างบุคลากร แต่ใช้งบไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน ส่วนโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญต่อประชาชน จุดประสงค์ต้องการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 620,000 บาท โดยมองว่าสามารถโหลดรัฐธรรมนูญมาอ่านได้ หากอยากรู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่อะไร
นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า ยังมีโครงการสัมมนาเครือข่ายทางวิชาการเพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญ 1 ล้านบาท ก็ใช้งบไปเที่ยวเช่นกันและยังทำเป็นประจำทุกปี โดยมองว่าไม่เป็นประโยชน์และควรปรับลดงบบุคลากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ปีนี้จัดทำรายงานประจำปีย้อนหลัง 3 ปี เราควรจะให้หรือไม่ รวมถึงงบที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของบรถประจำตำแหน่งมา เนื่องจากใช้งานมานาน ตอนนี้จะครบ 6 ปีแล้ว ต้องรีบขอรถเบนซ์ S350d มองว่าไม่จำเป็น
นายจิรัฏฐ์ กล่าวอีกว่า งบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมาก 57 ล้านบาทต่อปี ยังไม่นับค่าประชุม เบี้ยรับรอง แต่ปีที่แล้วทำงานเพียง 24 คดีและหากย้อนกลับไปเฉลี่ยเพียง 16 คดีต่อปี จึงขอให้ดูสถานการณ์บ้านเมืองด้วย
ด้านนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า หากเราคาดหวังความเป็นธรรมกับผู้อื่น เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้อื่นเช่นเดียวกัน พร้อมระบุว่า เรื่องรถเรื่องบ้านได้พูดกันในที่ประชุมตลอดเวลา การเช่าเป็นวิธีที่หน่วยงานส่วนใหญ่เลือกใช้ แต่หากพิจารณาแล้ว การเลือกที่จะซื้อทำให้ประหยัดงบประมาณมากกว่า ส่วนค่าซ่อมบำรุงเป็นไปตามหลักการ
“ข้าราชการตุลาการใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ชีวิตแบบอิสระกับคนอื่นไม่ได้ ถ้าคุณไม่เข้าใจวิธีการ ก็ไปโจมตีเขาแบบผิดๆ ถูกๆ พร้อมถามกลับว่า หากไม่ให้มีผู้ช่วย สส.บ้างจะดูแลประชาชนอย่างไร ดังนั้นหากจะแก้ก็ขอให้แก้หลักใหญ่ อย่าโจมตีจุดเล็ก จะได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายสรวุฒิ กล่าว
“อดิศร” ขอศาลคืนเงินประกันหลังคดีสิ้นสุด
ขณะที่นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขอใช้สิทธิสมาชิก และในฐานะอดีตทนายความ ทวงถามเงินวางศาล เงินประกันตัว ตามข้อหาต่างๆ ซึ่งเป็นจำนวนหลักแสนบาท โดยตั้งคำถามว่า เมื่อคดีเสร็จสิ้นแล้วได้คืนเงินประกันเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งตามความเป็นจริงคืนแค่เงินต้น แต่ดอกเบี้ยไม่ได้คืนด้วย
ขอสอบถามกรรมาธิการที่ไปทำหน้าที่แทน สส.ว่าได้สอบถามไปหรือไม่ ทำไมไม่คืนเงินให้กับจำเลย โจทก์ จะมีความผิดฐานลักของโจรหรือไม่
นายอดิศร ระบุอีกว่า ติดใจเรื่องดอกเบี้ย อยากให้เพิ่มเป็นข้อสังเกต ดอกเบี้ยเงินของใครก็คืนให้คนนั้น ขอให้คงไว้ซึ่งความยุติธรรมและทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้งบประมาณปีหน้า
ด้ายนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กรรมาธิการเสียงข้างมาก กล่าวว่า เห็นด้วย แต่ขอให้ใช้กลไกอื่นในการดำเนินการ ซึ่งเรื่องงบประมาณเดินหน้ามาถึงจุดนี้แล้ว จึงขอให้ลงมติเห็นชอบกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก ในทุกมาตราที่ได้มีการพิจารณาวันนี้ (22 มี.ค.)
อ่านข่าวอื่นๆ
ไม่หวั่น สว.ซักฟอก “ทักษิณกลับเชียงใหม่” 25 มี.ค.
