ทำเนียบขาวเปิดเผยรายละเอียด หลังการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และอิสราเอลว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กดดันให้ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ดำเนินขั้นตอนที่ “เฉพาะเจาะจง เป็นรูปธรรม และวัดผลได้” เพื่อปกป้องพลเรือนและเจ้าหน้าที่ด้านช่วยเหลือในฉนวนกาซา
การโทรศัพท์พูดคุยกันดังกล่าวเป็นการสื่อสารโดยตรงครั้งแรกที่ไบเดนและเนทันยาฮูมี นับตั้งแต่การโจมตีของอิสราเอลที่ได้สังหารเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมจาก World Central Kitchen 7 คน เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (4 เม.ย.) ตามคำแถลงของทำเนียบขาวที่บรรยายถึงการเจรจาระบุว่า ไบเดนมีท่าทีไม่พอใจต่อเนทันยาฮู “ประธานาธิบดีไบเดนเน้นย้ำว่าการโจมตีต่อเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม และสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมโดยรวมนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุ
ไบเดนยัง “แสดงให้เห็นชัดเจนว่านโยบายของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับฉนวนกาซาจะถูกกำหนดโดยการประเมินการดำเนินการในทันทีของอิสราเอล” เพื่อจัดการกับความอันตรายและความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา
จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวในภายหลังว่า การดำเนินการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์จะมีผลกระทบต่ออิสราเอล หากไม่เพิ่มการไหลเวียนของความช่วยเหลือไปยังฉนวนกาซา และการบังคับใช้มาตรการเพื่อปกป้องพลเรือนและเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม แต่เคอร์บีปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
“ผมจะไม่เปิดเผยตัวอย่างการตัดสินใจเชิงนโยบายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่เราต้องการเห็นคือการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในฝั่งอิสราเอล และถ้าเราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงจากฝั่งของพวกเขา ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากฝั่งของเรา” เคอร์บีกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
จนถึงขณะนี้ ฝ่ายบริหารของไบเดนไม่ได้พิจารณาการตัดเงื่อนไขในการช่วยเหลือและถ่ายโอนอาวุธไปยังอิสราเอล นอกจากนี้ รัฐบาลของไบเดนยังสนับสนุนการรณรงค์ทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซาหลายครั้งตามที่จำเป็น เพื่อปราบปรามกลุ่มฮามาสให้ราบคาบ
“เรายังคงสนับสนุนความสามารถของอิสราเอลในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่ยังคงมีอยู่นี้” เคอร์บีกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (3 เม.ย.) “และนั่นจะดำเนินต่อไป” ต่อมา เคอร์บีย้ำจุดยืนดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี โดยเขากล่าวว่าสหรัฐฯ “ยังคงมีความมุ่งมั่นอย่างแข็งแกร่งในการช่วยเหลืออิสราเอลในการป้องกันตนเอง”
ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ ระบุว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของไบเดนได้อนุญาตให้มีการถ่ายโอนยุทโธปกรณ์ทางทหารหลายพันชิ้นไปยังอิสราเอล รวมถึงระเบิดน้ำหนักรวมกันกว่า 900 กิโลกรัม
อย่างไรก็ดี ฝ่ายบริหารของไบเดนยังปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวประณามการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อสถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัส ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย รวมถึงผู้บัญชาการทางทหารของอิหร่านในนั้นอีก 1 รายด้วย แม้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกทางการทูตจะได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และสหรัฐฯ เองได้เคยเตือนว่าไม่ควรมีการขยายความขัดแย้งในฉนวนกาซาไปสู่สงครามในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี ตามรายงานของทำเนียบขาวระบุว่า ในระหว่างการหารือกับเนทันยาฮูเมื่อวันพฤหัสบดี ไบเดนยังคงแสดงการสนับสนุนอิสราเอลต่อการตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นจากอิหร่าน “ผู้นำทั้งสองยังได้หารือเกี่ยวกับภัยคุกคามสาธารณะของอิหร่านต่ออิสราเอลและประชาชนอิสราเอล” คำแถลงระบุ “ประธานาธิบดีไบเดนแสดงให้เห็นชัดเจนว่า สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามเหล่านั้น”
การโทรศัพท์พูดดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางรายงานจากสื่อสหรัฐฯ ว่า ไบเดนแสดงอาการที่โกรธเนทันยาฮูมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น และการโจมตีตามอำเภอใจของอิสราเอลในฉนวนกาซา โดยก่อนหน้านี้ ไบเดนเองได้แสดงความโกรธต่อการโจมตีของอิสราเอลเมื่อวันจันทร์ (1 เม.ย.) ซึ่งสังหารเจ้าหน้าที่ของ World Central Kitchen ซึ่งรวมถึงพลเมืองสหรัฐฯ ในนั้น 1 คน ทั้งนี้ ไบเดนได้เรียกร้องให้อิสราเอลสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เพื่อหาผู้ที่จะ “ต้องรับผิดชอบ” ต่อเหตุดังกล่าว
“ความขัดแย้งนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ในแง่ของจำนวนเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ที่ถูกสังหาร” ไบเดนกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (2 เม.ย.) “นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมการแจกจ่ายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาจึงเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากอิสราเอลไม่ได้ดำเนินการเพียงพอที่จะปกป้องเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ที่พยายามให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นอย่างยิ่งแก่พลเรือน”
อย่างไรก็ดี ฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงส่งสัญญาณที่จะดำเนินการถ่ายโอนอาวุธของสหรัฐฯ ไปยังอิสราเอลต่อไป โดยทั้งทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวในสัปดาห์นี้ว่า สหรัฐฯ ไม่พบว่าอิสราเอลละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แม้จะมีรายงานกล่าวหาว่ากองทัพอิสราเอลมีการปฏิบัติโดยมิชอบก็ตาม
เมื่อวันพฤหัสบดี เคอร์บียังกล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ จะรอให้อิสราเอลสรุปการสอบสวนเหตุการณ์สังหารเจ้าหน้าที่ของ World Central Kitchen ดังกล่าวด้วยตนเอง อย่างไรก็ดี กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างกล่าวแย้งว่าอิสราเอลไม่ควรได้รับความไว้วางใจให้สอบสวนตัวเอง เนื่องจากทางการอิสราเอลแทบไม่ได้ดำเนินคดีกับทหารและผู้บัญชาการของตัวเองเลย แม้ว่าจะมีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาที่ถูกยึดครองก็ตาม
ที่มา: