วันนี้ (25 เม.ย.2567) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมกรรมาธิการ ร่วมแถลงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะสั้น ปัญหาเร่งด่วนได้ประชุมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ได้ทราบว่าจะมี SOP ฉบับใหม่ เพื่อรองรับสถานการณ์ผู้หนีภัยที่อาจทะลักเข้าสู่ประเทศไทยในจำนวนหลักแสนคน อยู่ระหว่างการรออนุมัติจากรัฐบาล โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งอนุมัติเห็นชอบเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติของทุกหน่วยงาน
และ 2.จะต้องมีการดำเนินการเรื่องการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ในการช่วยส่งของที่จำเป็นในพื้นที่ภายในของเมียนมา ซึ่งหากจะมีความยั่งยืนต้องร่วมมือกับมิตรประเทศ ซึ่งเห็นว่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการทะลักข้ามแดนเข้ามาประเทศไทย
3.อ้างถึงสาเหตุการทะลักข้ามแดนของผู้หนีภัยมาจากแอร์สไตรค์ หรือ การโจมตีทางอากาศยาน โดยเห็นว่าประเทศไทยต้องมีการพูดคุย กับทางรัฐบาลเมียนมาว่าการใช้แอร์สไตรค์ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ และอ้างอิงว่า จากข้อมูลที่ได้รับการซื้อขายน้ำมันในประเทศไทยร้อยละ 15 และมีความเป็นไปได้ว่าน้ำมันบางส่วนถูกใช้ในอากาศยาน
สิ่งนี้เป็นอำนาจต่อรองสำคัญที่ประเทศไทยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างสันติภาพ และเพิ่มดุลการเจรจากับรัฐบาลเมียนมา ซึ่งหากมีการปฏิบัติก็จะสอดรับกับมติ G7 ว่าไม่ควรขายน้ำมันให้กับทางรัฐบาลทหารเมียนมาอีกต่อไป
อ่านข่าว : ตั้ง “ปานปรีย์” คุม คกก.เฉพาะกิจไทย-เมียนมา ย้ำทำทุกทางยุติความขัดแย้ง
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในข้อเสนอระยะกลางมีความจำเป็นที่จะต้องเจรจากับทุกฝ่าย เพราะในไทยยังมีปัญหายาเสพติดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ซึ่งการเจรจาเป็นกฎหมายหมายสำคัญของการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมถึงสถานะในอนาคตของเมียนมาว่าจะเป็นอย่างไร และเสนอแนะวิธีผู้หนีภัยสู้รบ ผู้หนีภัยเศรษฐกิจ ที่อาจอยู่ในประเทศไทยจำนวนนับ 1,000,000 คน ซึ่งในจำนวนไม่น้อยต้องจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเห็นว่าควรนำกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาอยู่บนดินอยากถูกต้องตามกฎหมาย
โดยการใช้กลไกออกบัตรรหัสพิเศษ แต่ไม่ได้หมายถึงการให้สถานะเป็นคนไทยหรือให้คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 17 ของ พ.ร.บ. คนเข้าเมืองปี 2522 ให้ความเห็นชอบผู้ลี้ภัยเข้ามาในราชอาณาจักรได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต หรือการอนุญาตสิ้นสุดลงและจำเป็นต้องทำงานเลี้ยงชีพศึกษาต่อ ให้อาศัยอยู่ทำงานได้ชั่วคราว ซึ่งในวิธีการดังกล่าวจะตอบสนองกับภาคเศรษฐกิจในประเทศที่ต้องการใช้แรงงาน
กรรมาธิการพิจารณาพิจารณาที่จะตั้งคณะทำงานและอนุกรรมธิการ เพื่อแก้ปัญหาที่อาจมีความเป็นไปได้ว่ามีปฏิบัติการบางอย่างอันอาจจะทำให้ประเทศไทยเป็นฐานในการฟอกเงินของเครือข่ายที่จะนำไปสู่การซื้ออาวุธ และนำเงินไปใช้ในปฏิบัติการในเมียนมา
ขณะเดียวกันประเทศไทยสามารถสร้างความร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธ์ุที่อยู่บริเวณชายแดนไทย เพื่อสร้างเสถียรภาพสันติภาพในการแก้ไขปัญหาธุรกิจอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ ปัญหาฝุ่นควันในชายแดน จัดตั้งเป็นความร่วมมือในชุมชนชายแดน แทนศูนย์ประสานงานเดิมที่ไม่ได้มีตัวแทนจากฝ่ายทหารเมียนมา และเสนอแนะให้ไทยเร่งตั้งกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งระดับอาเซียนและระหว่างประเทศเพื่อให้มีการร่วมกันแบ่งปันความรับผิดชอบ
อ่านข่าว : “คนไทย” หลบใต้รถบรรทุกข้ามคืน ท่ามกลางเสียงระเบิดในเมียวดี
สำหรับข้อเสนอระยะยาว คือ การเสนอแนะให้มีการพูดคุยอนาคตของเมียนมา อ้างอิงบทเรียนที่ผ่านมาในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ว่าประเทศไทยสามารถเข้าไปมีบทบาทในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการสร้างสันติภาพในเมียนมา โดยมั่นใจว่าประเทศไทยยังคงได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายต่าง ๆ และกลุ่มต่าง ๆ แต่เปลี่ยนแนวทางการทูตเชิงรุก รอบนี้จำเป็นต้องพูดคุยกับฝ่ายต่าง ๆ
ทั้งนี้ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงประกอบไปด้วย นายคมกฤช จองบุญวัฒนา ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก, นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่ง, พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร, พ.อ.ฉลวย อ่อนคำ รองผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการกรมยุทธการทหารบก และตัวแทนภาคประชาชน
โดยกรรมาธิการเตรียมลงพื้นที่ เพื่อติดตามสถานการณ์ใน อ.แม่สอด จ.ตาก ระหว่างวันที่ 12 – 14 พ.ค.นี้ และจะมีการเข้าพบเพื่อปรึกษาในประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
อ่านข่าว :
ปิดด่าน “เมียวดี” สินค้าเกษตรชะงัก “แม่สอด” ผลผลิตเสียหาย-รายได้ลด