‘สุรเชษฐ์’ บุก สตช. ยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน มิชอบ เปิดโปงขบวนการ ‘4 × 100’ สยบปีกพระพรหม เล็งยื่นฟ้องคนปลดป้ายชื่อหน้าห้องทำงาน ย้ำยังเป็น รอง ผบ.ตร.
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 25 เม.ย. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้เดินทางมายื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ จากกรณีที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผบ.ตร. มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา
โดยภายหลังชื่อหนังสือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เปิดเผยว่า เป็นการมาดำเนินการในส่วนของคำสั่งทางปกครอง ที่ให้ตนออกจากข้าราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากคดีอาญา ว่าเป็นการออกคำสั่งโดยชอบหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
พร้อมทั้งเปิดเผยว่าเรื่องทั้งหมดเป็นขบวนการ 4 × 100 ที่มักใช้ในขบวนการค้ายาเสพติด ประพฤติชั่ว เสพติดอยากมีอำนาจ มีลักษณะทำเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ชุดตรวจค้นที่เข้าไปตรวจบ้านตน ” ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร” ซึ่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆพบเส้นเงินลัญชีม้า ประมาณ 500 ล้านบาท แต่ไม่ส่ง DSI ฟังสำเนาเองจึงเป็นการ ทำสำนวนโดยไม่ชอบเขาไม่มีอำนาจการสอบสวน ป.ป.ช. เห็นท่าไม่ดีจึงเรียกสำนวนคืน จึงไม่สามารถทำอะไรตนได้ จึงมีการทำลักษณะ เรื่องเก่าเล่าใหม่ โดยเอาคดีเดิมมาซอยย่อยไปทำที่ สน.เตาปูน เก็บคดีไว้ 4 เดือน เพื่อเวลาออกหมายเรียก หมายจับ ได้สำเร็จ โดยใช้นิติอำพราง ไปขอหมายโดยไม่ใส่ยศ ตำแหน่ง จนสามารถแจ้งข้อกล่าวหาตนได้ ทั้งที่ไม่มีอำนาจสอบสวน
ขณะที่รักษาการ ผบ.ตร. อาจมองว่าก็ดีเหมือนกันจะได้เป็น ผบ.ตร. จึงร่วมกับขบวนตั้งคณะกรรมการสอบสวนและมีคำสั่งให้ออกจากราชการทันที ในวันที่ 18 เมษายน ก่อนวันที่ 19 เมษายน จะส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. ซึ่งถือเป็นการยอมรับว่าคดีนี้มีความรับผิดชอบของ ป.ป.ช. คดีมีเหตุผลตั้งแต่ปี 2558 แต่เพิ่งมาทำตอนนี้เพราะตนเป็นแคนดิเดตเบอร์ 1
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน มิชอบ เนื่องจากตนถูกกล่าวหาทำผิดวินัยร้ายแรง จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หากยังอยู่ในตำแหน่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรตำรวจ ซึ่งการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว การอ้างแบบนี้ผิดกฎหมาย เพราะตนถูกกล่าวหาตั้งแต่ 2 ธันวาคม 2566 อยู่ ตร. นาน 3 เดือน ก่อนจะสั่งย้ายให้ประจำสำนักนายกฯ 29 วัน โดยไม่มีอำนาจเข้ามายุ่งเหยิงกับคดี หรือ เรียกคนทำสำนวนมาพบได้ แต่กลับมีการเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบ ในช่วงเที่ยง ก่อนจะมีคำสั่งให้ออกจากราชการในช่วงบ่าย ของวันที่ 18 เมษายน
โดยอ้างกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งให้พักราชการและสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547 ข้อ 8 ซึ่งในระเบียบดังกล่าวไม่มีการกำหนดกรอบเวลาของคณะกรรมการสอบสวน ขณะที่ม.120 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 กำหนดการสอบสวนของคณะกรรมการไว้ 60 วัน ขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน แต่หากไม่เสร็จให้นายกรัฐมนตรี สั่งการแทนและให้ลงโทษ ผบ.ตร. ดังนั้นกฎ ก.ตร ขัดแย้งกับ พ.ร.บ.ตำรวจฉบับปัจจุบัน ต้องยกเลิกไป
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นการยึดตาม กฎ ก.ตร.เดิมไม่ได้ดูตามกฎหมายใหม่ ซึ่งในคำสั่งอ้างว่า ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมผู้พร้อม 5 คนออกจากข้าราชการไว้ก่อนตามข้อเสนอฝ่ายกฎหมายและฝ่ายวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่กฎหมายระบุว่าจะต้องมาจากความเห็นหรือข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นแต่อย่างใด
อีกทั้งมีการร่างคำสั่งให้ออกไว้ 2 วันล่วงหน้า โดยมีการลงนามในคำสั่ง ในวันที่ 17 เมษายน ซึ่งเป็นวันก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรี และออกประกาศคำสั่งในวันที่ 18 เมษายน เชื่อว่ามีการเตรียมการไว้ก่อนเป็นขบวนการ ซึ่งตนจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่ ผอ.สำนักคดี แต่ถ้าอยากรอดต้องมาบอกกับตนว่าใครเป็นสั่ง เดิมรักษา ผบ.ตร. ไม่ใช่คู่กรณีของตน แต่มาทำแบบนี้
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวถึงกรณีมีการปลดป้ายชื่อหน้าห้องทำงาน และระเบียนผู้บังคับบัญชา เป็นการทำให้ตนเสื่อมเสีย เพราะตอนนี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ตนยังเป็น รอง ผบ.ตร. ดังนั้นตนจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด ขอให้การในชั้นศาลว่าใครสั่ง เชื่อว่าสุดท้ายคนสั่งจะตายคนเดียว เพราะเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ผบ.ตร. “ต้องบอกว่ามวยคนละชั้น เจอมาเยอะแบบไม่ได้แอ้มตนหรอก คุกแน่นอน”
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังย้ำว่า ในการหารของป.ป.ช. ตอนนี้ตนไม่ใข่ถูกต้องหา แต่เป็นผู้ถูกกล่าวหา หากยังไม่มีการชี้มูลความผิดตนก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น ผบ.ตร. ซึ่งเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้อง เขาชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรี เพราะตนได้ถอดคำร้องต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว และตนยังเชื่อมั่นในระบบอยู่