ความคืบหน้าหลังการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา 1/1 ของนายเศรษา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งเกิดแรงกระเพื่อมหลังนายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกมนตรี และรมว.ต่างประเทศลาออก
วันนี้ (30 เม.ย.2567) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นัดเข้าพบเพื่อมาพูดคุยเกี่ยวกับงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เบื้องต้นได้ทำการบ้านมาส่วนหนึ่ง เพราะกระทรวงการท่องเที่ยวฯมีโปรแกรมงานอยู่แล้ว จึงต้องรีบศึกษางานเพื่อจะทำให้ต่อเนื่อง
วันนี้จะมารับทราบนโยบายจากนายกรัฐมนตรี และหารือร่วมกับ น.ส.วรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม รวมถึงนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม
ส่วนที่มีหลายตำแหน่งมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์กล่าวว่า การปรับทุกครั้งอาจจะมีความพอใจกับความไม่ค่อยจะพอใจก็มีอยู่มาโดยตลอดสำหรับการสลับเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงการท่องเที่ยวนั้นนโยบายก็ยังคงต้องร่วมงานกันทำ ช่วยกันอยู่ดี
เมื่อถามว่าน.ส.สุดาวรรณ พอใจกับการสลับตำแหน่งหรือไม่นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า มองว่าน.ส.สุดาวรรณ เหมือนน้อง เหมือนลูก ทำงานกันด้วยดีตลอด เชื่อว่าจะทำงานเกื้อกูลสนับสนุนกันตลอดไป
อ่านข่าว ราคาทอง ยังผันผวน ลงอีก 50 บาท ลุ้นประชุมเฟดสัปดาห์นี้
คลื่นใต้น้ำ สธ.หลังเปลี่ยนรัฐมนตรี
ขณะที่ ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์เฟซบุ๊กว่า ทันทีประกาศปรับ ครม.เปลี่ยนรัฐมนตรีกระรวงสาธารณสุข (สธ.) จากนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว มาเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เมื่อวานนี้ (29 เม.ย.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ก็เข้าพบเจ้านายเก่าที่กระทรวงมหาดไทย ทันที ในข่วงที่ยังรอโปรดเกล้าฯ ภายใต้คำอธิบายว่า ”มาสวัสดีปีใหม่ไทย“
ส่วนแท้จริงมาปรึกษาฝากฝังอะไรเป็นพิเศษในโอกาสเปลี่ยนรมว.สธ.หรือเปล่า อันนี้ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ปลัดโอภาส ถือเป็นปลัดยอดกตัญญู นายเก่า อนุทิน ตั้งมาก็ไม่เคยลืมบุญคุณ คิดถึงตลอด พบนายเก่าแล้วยิ้มแย้มมีความสุข เพราะนายคนนี้แม้เปลี่ยนกระทรวงแล้ว ก็ยังเป็นร่มเป็นขวัญให้กับข้าราชการที่คุมไม่อยู่สายจังหวัดทางภาคอีสานใต้เป็นอย่างดี
คุมข้าราชการไม่อยู่ คือเรื่องจริง หลักฐาน ความจริงของภาพที่ปลัดโอภาส คงไม่อยากให้หลุด แต่นายเก่าอนุทิน เจตนาปล่อยออกมาเอง เพื่อบ่งบอกอะไรบางประการ
ปรับ “ปานปรีย์” ตั้ง พิชิต “ได้ไม่คุ้มเสีย”
ส่วนนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง ระบุว่า ปรับ ปานปรีย์ ตั้ง พิชิต “ได้ไม่คุ้มเสีย”
โดยระบุว่า ทุกครั้งที่มีการปรับ ครม.จะมีแรงกระเพื่อมและคลื่นใต้น้ำทุกครั้ง ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนก็ตาม และบางครั้งเหมือนกับการนับถอยหลังอายุของรัฐบาลเสียด้วยซ้ำไป รัฐบาลที่เข้มแข็งจะปรับครม.น้อยครั้งมาก ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาล มีการปรับ ครม.น้อยที่สุด และเสถียรภาพของรัฐบาลก็ราบรื่น ไม่มีแรงกระเพื่อมหรือคลื่นใต้น้ำแต่อย่างใด
เมื่อเทียบกับรัฐบาลของนายเศรษฐา ที่มีอายุเพียง 8 เดือน ก็มีการปรับครม.แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางสไตล์ของนายใหญ่ เพราะสมัยนายทักษิณ เป็นรัฐบาล จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีทุก 6 เดือน เก้าอี้รัฐมนตรีกลายเป็นเก้าอี้ดนตรีของบรรดาพวก ส.ส. ใช้ปูมบำเหน็จเป็นการตั้งแบบต่างตอบแทน
การปรับ ครม.ของรัฐบาลเศรษฐาในครั้งนี้ ถ้าคิดผลทางการเมืองถือว่า“ได้ไม่คุ้มเสีย” ที่เห็นชัดๆอยู่ 2 คนคือ
นายปานปรีย์ มหิทธานุกร ที่ถูกปรับออกจากรองนายกรัฐมนตรี คงเหลือรมว.ต่างประเทศ เพียงตำแหน่งเดียว ซึ่งในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก็ได้ เพราะการควบรองนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้ทำให้จำนวนรัฐมนตรีเพิ่มขึ้น ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีจำนวน 36 คน จะให้ใครควบกี่ตำแหน่ง ก็ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ดังนั้นฉะนั้นการที่ให้นายปานปรีย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี กับรมว.ต่างประเทศ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เสียหาย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปลดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และไปเพิ่มตำแหน่งให้กับนายพิชัย ชุณวชิร และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งถ้าจะเพิ่มตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีให้ 2 คนดังกล่าวก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นลดตำแหน่งของคุณปานปรีย์ ให้เสียความรู้สึกกัน
ส่วนนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล ซึ่งตอนนี้มีข้อสงสัยว่า ระหว่างมือกฎหมายรัฐบาลกับมือถือถุงขนมอันไหนเก่งกว่ากัน การตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สุ่มเสี่ยงขัดต่อประมวลจริยธรรม
ในขณะนี้มีผู้ยื่นให้ตรวจสอบแล้ว กำลังจะเป็นปัญหาทางข้อกฎหมายของรัฐบาลชุดนี้ การตั้งคุณพิชิต เป็นการตั้งรัฐมนตรีต่างตอบแทนอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นผลดีต่อนายทักษิณ แต่ไม่เป็นผลดีต่อนายเศรษฐาอย่างแน่นอน
ถ้าหากรัฐบาลชุดนี้ ต้องการมือกฎหมายจริงๆ ก็มี นักกฎหมายหลายคนในพรรคเพื่อไทย ที่พร้อมจะทำงานได้ แต่การย่อมเสี่ยงเลือกนายพิชิต เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แสดงให้เห็นถึงผู้มีอำนาจตัวจริงในการปรับ ครม.คือนายทักษิณ เพราะถ้าลำพังนายเศรษฐา เชื่อว่าคงจะไม่ตั้งนายพิชิต ให้เป็นประเด็นถูกวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม
อ่านข่าวอื่นๆ
“หมอนทองเขาบรรทัด” GI ใหม่ เนื้อทุเรียน สีเหลืองอ่อน หวาน มัน
สภาพอากาศวันนี้ ลำปางไม่หนาวแล้ว อันดับ 1 “ร้อนสุด” 8 วันติด