เก่าก็ยังไม่ไป-ปรับใหม่มีเพียงเล็กน้อย รัฐมนตรีสำรับใหม่ของพรรคเพื่อไทย “ครม.เศรษฐา 1/1” มีทั้งประเภท “ผิดฝา ผิดตัว” และถูกเจ้าของพรรคตัวจริง “เขี่ยทิ้ง อย่างสิ้นเยื่อใย” แม้ไม่ใช่การกระชับพื้นที่ แต่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยและสังคมไทย โดยเฉพาะประชาชน ไม่ได้อะไรเลย จากการสลับตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีในครั้งนี้
“ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน วิเคราะห์ว่า ผู้ได้ประโยชน์จากการปรับ ครม.อาจเป็นเจ้าของพรรคฯ ที่อาจจะมีความรู้สึกว่า ได้อะไร เพราะไม่ได้คิดว่า กำลังจะเสียอะไร
หากจัดลำดับอดีตรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยที่ต้องเสียเก้าอี้ไป ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต รมว.สาธารณสุข, นายไชยา พรหมา อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและการกีฬา
จำแนกได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคนในบ้าน กลุ่มทุนการเมือง และ กลุ่ม สส.นักการเมืองเปราะบาง
“ถ้าเปรียบเทียบ นายปานปรีย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ก็เหมือนคนในบ้าน ส่วน น.ส.สุดาวรรณ อดีต รมว.ท่องเที่ยวฯ ที่ปรับไปเป็น รมว.วัฒนธรรม คือ ตัวแทนของกลุ่มทุน ขณะที่ซีกในการเมืองในพรรคที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น นพ.ชลน่าน และ นายไชยา และนางพวงเพ็ชร ก็จะเห็นได้ว่าถูกเขี่ยทิ้งอย่างง่ายดาย เปรียบเสมือนเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เพราะเจ้าของพรรคฯ เขาไม่ได้สนใจความรู้สึก ให้ทำงานแบบ JOB BY JOB”
จตุพร บอกว่า ผลของการดีล จึงทำให้ได้รัฐบาลแบบนี้ และต้องแลกกับทุกเรื่องโดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมและระบบประชาธิปไตย ซึ่งนับวันจะมีความชัดเจนและหนักหน่วงมากขึ้น เพราะการตระบัดสัตย์ได้ทำลายระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย และการทำลายเศรษฐกิจลงอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะโครงการเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งหากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นการทำลายเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว แต่เจ้าของพรรคฯ ไม่ได้สนใจในการจัดความสัมพันธ์ทางความรู้สึก เขาไม่ได้ผูกพัน การต่อสู้ที่ผ่านมาในอดีต ขนาดคนเสื้อแดงตายเป็น 100 บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ยังไม่ได้รู้สึกอะไรเลย และยังทำทุกสิ่งสวนทางกับที่เคยประกาศไว้
“ถ้าถามว่า ปรับ ครม.แล้ว ชาวบ้านได้อะไร ก็ต้องตอบว่าไม่ได้อะไรเลย แต่จะเป็นการเสียหายมากกว่า หากยังปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้ คนยอมก็คงจะมี แต่สำหรับคนไม่ยอม ตอนนี้เราก็เริ่มเห็นสัญญาณการขยับแล้ว บอกไม่ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นได้หมด”
ดังนั้นถึงเวลาคู่ดีลของแต่ละฝ่ายต้องคิดแล้วว่า ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในช่วงปกติหรือไม่ เพราะคนปกติเขาไม่ทำ หลักคิดทั้งหมด เป็นความผิดปกติทั้งหมด
จตุพร ชี้ให้เห็นว่า ความผิดปกติ เช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ของ นายปานปรีย์ กล่าวคือ ตำแหน่งรองนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามว่าจะตั้งกี่คน กำหนดแค่ตำแหน่งนายกฯ กับรัฐมนตรี 35+1
และที่สำคัญคือ ประเทศยังไม่ได้มีนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เวลาตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาตามที่นายปานปรีย์ ระบุ เรื่องความเป็นรองนายกฯ เพราะมีหน่วยงานที่ข้ามกระทรวงการต่างประเทศ เช่นเดียวกับคณะกรรมการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาความสงบในเมียนมา ก็มาจากหลากหลายหน่วยงาน
“ผมมองว่า ที่นายปานปรีย์ต้องออกมา เพราะเขาคิดเรื่องเนื้องานเป็นหลัก และเขาเป็นคนที่มีสถานะและศักดิ์ศรีมากกว่าตำแหน่ง ต่างจากนักการเมืองบางคน จากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ มาเป็น รัฐมนตรีช่วยได้ แต่นายปานปรีย์ ไม่ใช่นักการเมืองแบบนั้น”
ส่วนการนำนายพิชัย ชุณหวชิระ มาเป็น รมว.คลัง และ รองนายกฯ นายจตุพร บอกว่า ต้องมองหลายๆ ทาง อย่าลืมว่า เขาเป็นที่ปรึกษาของนายเศรษฐา มานานหลายเดือน และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตเลย จริงๆ เรื่องนี้ นายเศรษฐา เป็นผู้ประกาศเองว่าจะทำดิจิทัลวอลเล็ต เขานั่งนายกฯ ควบ รมว.คลัง ยังทำไม่ได้ และการที่ส่งนายพิชัย มานั่งรองนายกฯ ควบ คลัง จะทำได้หรือไม่ คงต้องรอดูว่าจะเข้ามาทำอะไร เดินหน้าต่อหรือออกมาหาทางถอย
“เรื่องนี้ไม่ใช่สั่งได้หรือไม่ได้ แต่ถามว่า เขาจะกล้าหรือไม่ เพราะคนหลายคน ไม่ได้อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยง บางคนอาจจะเก่งในสาขาอาชีพเฉพาะ แต่ต้องรู้ว่า อะไรควรทำและไม่ควรทำ และเขาก็มีต้นทุนตัวเองสูงพอสมควร เชื่อว่า อะไรที่เสี่ยงเขาคงไม่ทำแน่นอน เขาไม่ได้หิวขนาดนั้น ใครจะกล้าเอาตัวเองไปเสี่ยงอย่าง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์”
ส่วนเรื่องการสลับตำแหน่งของคนหน้าเก่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ให้ไปรับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข และให้ตำแหน่ง รองนายกฯ เพิ่มกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม โดยทั้ง 2 คน ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพรรคใดก็ตาม จตุพร ในฐานะอดีตคนวงใน กล่าวว่า ทั้งนายสมศักดิ์ และนายสุริยะ คนทั้ง 2 มีลักษณะพิเศษ สามารถเข้าและออกจากพรรคฯ ได้ถึง 10 ครั้ง ที่สำคัญตำแหน่งหน้าที่ไม่เคยลดลง
“มองข้ามไม่ได้ คือ ตรงนี้เป็นหลักคิดของเจ้าของพรรคฯ ซึ่งพวกนี้จะคิดแตกต่างจากประชาชนและคนทั่วไป เรื่องบางเรื่อง นักการเมืองทั่วไป คนบางคนไม่กล้าทำในบางอย่าง จึงต้องหาคนที่มีลักษณะเฉพาะที่มีลักษณะคล้ายๆกัน คือ ไม่มีความผูกพัน ความรู้สึกเขาจะไม่เหมือนกับ นพ.ชลน่าน ซึ่งไม่เคยออกจากพรรคฯ ไปไหน”
แต่ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ นพ.ชลน่าน และ กลุ่มผู้สนับสนุนกล้าแสดงความรู้สึกออกมา ซึ่งที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่า เขาไม่รู้สึก แต่เลือกที่จะเก็บความรู้สึก เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะกระทบกระทั่งกัน คราวหน้า พรรคฯ นี้ก็คงไม่เหลืออะไร เขาทำตัวเขาเอง ถือว่าไม่ต้องออกแรงมาก เพราะเพื่อไทยฆ่าตัวเองตายทุกวัน ไปเพิ่มคะแนนให้พรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น
สำหรับอนาคตของนายเศรษฐา ในวันข้างหน้านั้น ตู่-จตุพร ระบุว่า ไม่มีสิทธิกำหนดว่าตัวเขาจะถึงอวสานทางการเมืองได้เมื่อไหร่ เพราะตอนเกิดในตำแหน่งนายกฯ ก็ยังกำหนดไม่ได้
กับคนบางคน อาจคิดว่า อำนาจอยู่ในมือเต็มที่แล้ว สามารถทำอะไรก็ได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน มันต่างจากอดีตเมื่อ 15-16 ปีที่แล้ว ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจจะยังไม่รู้สภาพการณ์ในวันข้างหน้า
ส่วนคนไทย แม้จะเป็นคนที่ตื่นช้า ตื่นยาก บางเรื่อง บางเวลาก็อาจสายไป และหากทนกันได้ ก็ทนต่อไป แต่ถ้าทนไม่ได้ ก็ควรเริ่มส่งเสียงบ้าง ส่วนสถานการณ์ที่เห็นในช่วงนี้ ก็เห็นหลายฝ่ายเริ่มออกมาขยับกันบ้างแล้ว เพราะมันมีหลายเรื่องที่ทับซ้อนเข้ามา และทุกสิ่งก็เกิดขึ้นได้ แม้จะมองว่า เห็นว่ายาก ไม่มีแล้ว ก็ไม่แน่
อ่านข่าวอื่น :
เปิดประวัติ “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.บัวแก้วคนล่าสุด
ปรับ ครม.เศรษฐา ยุ่งเหมือน “ลิงแก้แห”
ปรับ “ปานปรีย์” ตั้ง “พิชิต” ได้ไม่คุ้มเสีย จับตาคลื่นใต้น้ำ สธ.