‘ทนายกฤษฎางค์’ ติดใจ 2 ข้อปม ‘บุ้ง เนติพร’ เสียชีวิต กังวลเรื่องพยานหลักฐานขณะบุ้งหมดสติ ห่วงถูกทำลายสิ้น ขอ ‘รมว.ยุติธรรม’ มีคำสั่งเด็ดขาดสั่งเก็บหลักฐานให้ดี พร้อมให้คนกลางเข้าตรวจสอบ เพื่อความกระจ่าง ขณะที่ผลการชันสูตร คาดชัดเจนเย็นนี้
วันที่ 15 พ.ค. ช่วงเช้าที่ผ่านมา กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางมาที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ สาขานิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อร่วมสังเกตการณ์การชันสูตรพลิกศพร่างของ เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ “บุ้ง” นักกิจกรรมทางการเมือง เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง โดยมีข้อมูลว่าพี่สาวของบุ้งได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยตัวตน ส่วนพ่อและแม่ ไม่ได้เดินทางมา เนื่องจากยังทำใจไม่ได้
โดย กฤษฎางค์ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้เป็นการชันสูตรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทั่วไปว่าผู้เสียชีวิตคือใคร ส่วนวันนี้จะเป็นการผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต โดยภายหลังจากการที่ฟังคำแถลงของกรมราชทัณฑ์ว่าบุ้งเสียชีวิตจากสาเหตุ ”หัวใจล้มเหลว“ ตัวเองมองว่ามันกว้างเกินไป จึงได้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางพิสูจน์ให้เป็นที่กระจ่างกับทางญาติพี่น้องและประชาชนที่สนใจว่าสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของบุ้งเกิดจากอะไรกันแน่
เบื้องต้นสิ่งที่เราต้องดู ก็คือตั้งแต่กายภาพว่ามีบาดแผล หรือดูร่องรอยว่ามีการทำร้ายร่างกายหรือไม่ หรือมีสารชนิดใดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ หรือมีเหตุอะไรที่ทำให้บุ้งหัวใจล้มเหลวหรือไม่ รวมถึงการรักษาพยาบาลในชั้นต้นว่าได้ดำเนินการได้ถูกวิธีหรือไม่ ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะเมื่อวานนี้เรายังไม่ได้ดูภายในเลย ดูได้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น
ซึ่งก็ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจว่าทางแพทย์จะหาสาเหตุได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่คาดว่าผลจริงๆ จะออกช่วงเย็นนี้ถึงจะชัดเจน ส่วนสารคัดหลั่งหรือเลือดที่จะส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ถึงจะออกมาเป็นเอกสาร แต่อย่างไรก็ตามเรื่องการนำศพออกมาทำพิธีทางศาสนา ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะมันจะมีหลักฐานเป็นรูปภาพ-คลิปอยู่แล้ว จึงสามารถนำร่างไปทำพิธีทางศาสนาได้เลยหลังขั้นตอนการผ่าพิสูจน์เสร็จสิ้น
เมื่อถามว่าทนายติดใจประโยคไหนบ้างหรือไม่ หลังจากที่กรมราชทัณฑ์ออกเอกสารมาแถลงเมื่อวานนี้ กฤษฎางค์ บอกว่า ติดใจอยู่ 2 ข้อ เนื่องจากตั้งแต่บุ้งถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ถอนประกันตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ได้เข้าเรือนจำ พร้อมประกาศอดอาหารโดยที่ญาติพี่น้องไม่มีใครรู้ แต่ภายหลังพบว่าอาการทรุดหนัก จนกระทั่งได้ส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่พออาการดีขึ้นก็ถูกส่งตัวกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่ปัญหาและสิ่งที่ต้องตั้งคำถาม คือการหมดสติที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทางโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีการดูแลรักษาที่ดีหรือไม่ หรือติดข้อจำกัดของงบงบประมาณ
ส่วนตัวมองว่าการออกมาแถลงกินข้าวกินน้ำตามปกติ แต่พบเกลือแร่ต่ำเป็นไปได้อย่างไร แบบนี้มันต้องอยู่ในสภาพที่ร่างกายไม่สมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วการกินข้าวหรือไม่กินข้าวไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญคือรัฐได้ดูแลคนที่ถูกตัดสินว่าผิดได้อย่างมีคุณภาพหรือไม่ เพราะถ้าวันหนึ่งศาลยกฟ้องขึ้นมาว่าเขาไม่ผิด แต่ปรากฏว่ามีคนตายไปแล้วที่โรงพยาบาลฯ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรหรือไม่
ส่วนข้อ 2 คือการรักษาเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ส่วนตัวตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเวลาเด็กหมดสติหรือหัวใจไม่ทำงานแล้ว โดยศักยภาพของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ต้องใช้เวลาปั๊มหัวใจนานกว่าจะส่งมาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเลยหรือไม่ ทำไมถึงไม่ตัดสินใจส่งก่อน หรือทำไมไม่สามารถรักษาพยาบาลได้ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องถามทาง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็ขอเรียกร้องไปตรงนี้เลยว่า “ขอให้รัฐมนตรีฯ ช่วยตรวจสอบและขอให้เก็บหลักฐานที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ให้ดี ส่วนตัวมองว่าความตายเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าตายแบบไม่สมควร มันสะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานของรัฐอะไรหลายอย่าง คนมันไม่เท่ากันเลยหรือ”
เมื่อถามว่าทางกรมราชทัณฑ์ได้ติดต่อมาบ้างหรือไม่ หลังจากบุ้งเสียชีวิต นายกฤษฎางค์ ตอบว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมารัฐมนตรีฯ ก็ได้โทรมาหาอีกครั้งว่า “ให้ผ่าชันสูตรให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน” และทราบด้วยว่าช่วงเช้าวันนี้ เวลา 07.00 น. ทางรัฐมนตรีฯ ได้เข้าไปเยี่ยม ทานตะวัน เพื่อไปให้กำลังใจ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันสายเกินไปหรือไม่
ส่วนที่ทางกรมราชทัณฑ์จะแถลงสาเหตุการเสียชีวิตช่วงเวลา 11.00 น. วันนี้กฤษฎางค์ บอกว่า ยังไม่ทราบจะมีแถลง เพิ่งจะทราบจากนักข่าว แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้จำเป็นต้องแถลง เพราะถ้ายังเมินเฉยอยู่ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ซึ่งก็ต้องรอฟัง แต่ถ้ามีโอกาสเขาจะเชิญไปด้วย เราก็จะไป
กฤษฎางค์ ระบุอีกว่า บุ้งมีคดีมากกว่า 3 คดี ซึ่งมากกว่าที่ทางรัฐมนตรีฯ แถลงอีก ส่วนตัวมองว่าความผิดเริ่มต้นตั้งแต่การขอใช้สิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว เพราะคดีมันยังไม่สิ้นสุด โดยที่ที่ผ่านมาถ้าหากเราดูจากประวัติการเมืองไทย ก็มีผู้ต้องขังที่ติดเชื้อในกระแสเลือดภายในเรือนจำแล้วเสียชีวิตจำนวนมาก ตอนนี้จึงกังวลเรื่องของพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งพยานปากสำคัญ ก็คือทานตะวันที่อยู่ข้างกัน เขาน่าจะรู้ว่าบุ้งหมดสติไปตั้งแต่กี่โมงและได้รักษาพยาบาลถูกต้องหรือไม่ เชื่อว่าจะต้องมีภาพกล้องวงจรปิดภายในเรือนจำอยู่แล้วและจะต้องมีรายงานของแพทย์ แต่ก่อนหน้านี้เคยไปรักษาที่ไหนมาบ้าง อาหารที่กิน ยาที่กิน ใครเป็นคนให้ เป็นยาอะไร ซึ่งหลักฐานพวกนี้อยู่ในเอกสาร แต่ก็สามารถทำลายได้เช่นกัน จึงอยากทิ้งท้ายให้ทางรัฐมนตรีฯ ช่วยมีคำสั่งเด็ดขาด และให้คนกลางเข้ามาร่วมตรวจสอบเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย
ขณะที่วันนี้ยังไม่มีการเคลื่อนร่างของบุ้งไปประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งจะเคลื่อนในวันพรุ่งนี้ โดยกำหนดการสวดพระอภิธรรมและพิธีฌาปนกิจศพ จะนำศพไปไว้ที่ศาลา 8 วัดสุทธาโภชน์ ลาดกระบัง และเริ่มสวดพระอภิธรรมในเวลา 19.00 น. ตั้งแต่วันที่ 16,17,18 พฤษภาคม และวันที่ 19 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. ฌาปนกิจศพ
นอกจากนี้ทางครอบครัวได้ขอความกรุณาและขอความร่วมมือสื่อมวลชนงดถ่ายภาพครอบครัว รวมถึงขอให้อยู่ในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ให้
