วันนี้ (11 มิ.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาโดยองค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนจำคุก 3 สส.ภูมิใจไทยในคดีเสียบบัตรแทนกัน
ประกอบด้วย นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ นายภูมิศิษฏ์ คงมี และนางนาที รัชกิจประการ โดยให้คนละ 9 เดือน ไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้ง 3 ดำรงตำแหน่ง สส. วันที่ 8-11 ม.ค.2563 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563
จำเลยทั้ง 3 ลงชื่อเข้าร่วมประชุม
แต่จำเลยที่ 1 ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ 10 ม.ค.2563 เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 ม.ค.2563 เวลา 17.38 น.
จำเลยที่ 2 ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ 10 ม.ค.2563 เวลา 19.30 น. ถึงวันที่ 11 ม.ค.2563 เวลา 11.10 น.
และจำเลยที่ 3 ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ 11 ม.ค.2563 เวลา 14.28 ถึง 15.46 น.ต่อเนื่องกัน
อ่านข่าว ศาลฎีกาสั่ง “ฉลอง-ภูมิศิษฎ์” หยุดปฏิบัติหน้าที่ ปมเสียบบัตรแทน
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 คนมีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จำคุกคนละ 1 ปี
องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นว่า ทางไต่สวนของจำเลยทั้ง 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 9 เดือน
พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำโดยทุจริตถือเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ 11 เม.ย.2565 ซึ่งเป็นวันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยทั้งสามตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 81 วรรคหนึ่งและวรรคสอง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาขององค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอสละประเด็นข้อต่อสู้ตามอุทธรณ์ทุกข้อ และขอให้การรับสารภาพในชั้นอุทธรณ์ กับขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก
“อนุทิน” ยันทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า เป็นไปตามนั้น ซึ่งเคยพูดตลอดว่าบ้านเมืองมีกฎหมาย กฎหมายต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ป็นอีกข้อหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
ดังนั้นคำถามต่าง ๆ ที่บอกว่าเวลาพวกไปปราบยาเสพติด ไปปราบผู้มีอิทธิพล หรือจับกุมผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายต่าง ๆ ก็เป็นอันชัดเจนว่า
ไม่มีใครที่จะมาเคลียร์ได้ หรือทำอะไรที่เอื้อกับใครได้ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
ส่วนกรณีนายนรเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ หลานชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย พร้อมพวก โดยจับพร้อมเจอยาไอซ์ 6 ถุง และอาวุธปืน ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง มองว่าคนอื่นสงวนนามสกุลหมดเลย มีแค่ “ไทยเศรษฐ์” คนเดียวไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ เพราะเป็นคนละคนกัน
นายชาดา มีญาติเป็นร้อยเป็นพันคน ประเด็นคือใครทำผิด อะไรก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการช่วยเหลือไม่มีอภิสิทธิ์ และไม่มีการเคลียร์ใด ๆ ทั้งสิ้น ชัดเจนอยู่แล้ว
นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้นายชาดาไปแสวงบุญอยู่ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ขออย่าไปทำให้อะไรกวนใจ และที่ผ่านมานายชาดา ก็ไม่เคยพูดถึงคน ๆ นี้ ซึ่งในชีวิตท่านคนที่ท่านเคยพูดถึงเติบโตกันมามีอยู่ 2 คน คือตัวท่านเอง และนางมนัญญา ไทยเศรษฐ์ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์
อ่านข่าว : จำคุก 9 เดือน-ตัดสิทธิ “ฉลอง-นาที-ภูมิศิษฏ์” ลูกพรรค ภท.เซ่นเสียบบัตร
ยกฟ้อง “เบนซ์ เดม่อน” คดีเว็บพนันมาเก๊า 888
“ยางพาราไทย”เสี่ยงสูง เจออียูใช้มาตราการ EUDR เข้มข้นธ.ค.นี้