หน้าแรก Thai PBS บนทาง 2 แพร่ง เศรษฐา-อนุทิน “สลับเก้าอี้นายกฯ” ทางรอดรัฐบาล

บนทาง 2 แพร่ง เศรษฐา-อนุทิน “สลับเก้าอี้นายกฯ” ทางรอดรัฐบาล

78
0
บนทาง-2-แพร่ง-เศรษฐา-อนุทิน-“สลับเก้าอี้นายกฯ”-ทางรอดรัฐบาล
บนทาง 2 แพร่ง เศรษฐา-อนุทิน “สลับเก้าอี้นายกฯ” ทางรอดรัฐบาล

บนเส้นทาง 2 แพร่ง บ่ายวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค) หลังศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคดี “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี คดีการแต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากเหตุประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 40 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา จะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 ) หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ทราบว่า “นายพิชิต” ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560

ทางสายแรก หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแต่งตั้ง “นายพิชิต” เป็นรัฐมนตรี เข้าข่ายความผิดฐานจงใจ ใช้อำนาจหน้าที่ละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ นายเศรษฐา ก็ต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัว และ ครม.ต้องไปทั้งคณะ

โดยรัฐบาลจะต้องจัดประชุมสภาฯ เพื่อโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ จากรายชื่อบุคคล ที่อยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งยังเหลืออีก 5 คน คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายชัยเกษม นิติสิริ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายอนุทิน ชาญวีระกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้

หากพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ พบว่า นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกฯจากพรรคภูมิใจไทย ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เข้ามาเสียบในตำแหน่งนี้แทน เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ยังไม่พร้อมที่จะส่ง น.ส.แพทองธาร เข้ามาเป็นตัวเลือก และสำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” แล้ว คงเป็นไปได้ยากที่จะยกอำนาจการต่อรองทางการเมืองให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของพรรคภูมิใจไทย

แต่หากทั้ง 2 พรรค มีการเจรจาต่อรองกันได้ สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน

โดยเหตุที่ทำให้ พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องยอมพรรคภูมิใจไทย นอกเหนือจาก ความอยู่รอดของรัฐบาล ที่กำลังเผชิญศึกหนัก จากคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยเองก็ตกต่ำ ประชาชนเบื่อหน่าย และต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยหนีไปหาทางเลือกใหม่ ท่ามกลางการต่อสู้ในสมรภูมิการเมืองท้องถิ่น ในการเลือกตั้งนายก อบจ.อย่างเข้มข้นทั่วประเทศ หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบ กลายร่างมาเป็นพรรคประชาชน และส่งตัวแทนพรรคฯลงสู้ศึกท้องถิ่นแบบพร้อมเดินหน้าชน

ดังนั้น หาก “เพื่อไทย”และ “ภูมิใจไทย” ไม่ร่วมกันสกัดกั้นล่วงหน้า ในการเลือกตั้งหน้าปี 2570 อาจจะเอาไม่อยู่ จึงเป็นเหตุผลทำให้ทั้งสองพรรคการเมือง ต้องกอดคอร่วมรบกันไปก่อน และในกรณีที่ “เศรษฐา” ถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง การล้างไพ่ใหม่การเมือง โดย “ทักษิณ” ยอมให้ “ภูมิใจไทย” ขี่คอ สลับให้ “อนุทิน” ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อรอดจากการจมน้ำตายไปด้วยกัน

ทางแยกที่สอง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า นายเศรษฐา ไม่ได้กระทำความผิด เหตุ “นายพิชิต” ยังไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ และอาจมีการยกคำร้องของ 40 สว.ด้วยเหตุผลอื่นใด หรือการกระทำดังกล่าวของนายเศรษฐา ถือว่า “บกพร่องโดยสุจริต” โดยนายเศรษฐา ยังคงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และครม.ก็ได้ไปต่อ แต่ในอนาคตอันใกล้ จะต้องมีการปรับ ครม. ตามมา

แม้หลายฝ่ายจะออกมาวิเคราะห์ เส้นทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลภายใต้การนำของ “นายเศรษฐา” ว่า ยังสามารถไปต่อได้ และก็สามารถอยู่ยาวจนครบวาระถึง 4 ปี แต่อาการก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย คือ แม้จะขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไป ไม่ให้เกิดสุญญากาศทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้ว ปั่นป่วนกว่าที่เป็นอยู่

แต่ปัญหาคือ จะไปต่ออย่างไร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมและความนิยมของประชาชนที่มีต่อ “พรรคเพื่อไทย” ที่ยังไม่สามารถทำ “โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ให้เกิดมรรคผล ในทางปฏิบัติ แม้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนไปแล้วก็ตาม หากเสียงตอบรับจากประชาชนและภาคธุรกิจ ก็ยังไม่ไปถึงไหน

ยิ่งผนวกกับศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ เมื่อพรรคประชาชน เปิดตัวได้เพียง 2 วัน สส.จำนวน 143 คน ก็พร้อมใจตบเท้าเข้าสังกัดทันทีโดยไม่มีแตกแถว ส่งผลให้เกิดความสั่นสะเทือนทางการเมืองไม่น้อย เมื่อพบว่า ยอดเงินบริจาคเข้าพรรคประชาชน ทะลุเกินเป้า จากที่ตั้งไว้ 10 ล้านบาท ได้เป็น 25 ล้านบาท และมีผู้สมัครสมาชิกใหม่ 50,000 คน

แม้จะมีการประเมินสัญญาณทางการเมืองว่า ขณะนี้อัตราการได้ไปต่อของ นายเศรษฐา อยู่ที่ 50 : 50 แต่เพื่อมิให้บอบช้ำมากนัก และรอดจากคำตัดสินแบบไม่น่าเกลียด โดยคะแนนอาจจะออกมาในลักษณะแบบฉิวเฉียด ขณะที่ทางพรรคเพื่อไทยประเมินว่า “นายเศรษฐา” จะไม่หลุดจากรัฐมนตรี โดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะเป็นตัวแทนนายกฯเดินทางไปฟังคำวินิจฉัยในวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค.)

หรือในกรณีที่ไม่ได้ไปต่อ หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ให้ ความเป็นรัฐมนตรีของ “นายเศรษฐา” ต้องสิ้นสุดเฉพาะตัว แต่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรี ชี้ว่า หากไม่รอดนายกฯ ก็จะถูกถอดถอนและพ้นจากตำแหน่งไป คณะรัฐมนตรีก็ต้องสิ้นสุดลง จนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ และให้รองนายกฯคนที่ 1 คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน”

” นายเศรษฐา ต้องพ้นจากนายกฯ ทันที โดยจะมีรองนายกฯคนที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทนได้ “นายวิษณุ ระบุ

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินกันว่า หาก “นายเศรษฐา” รอด และต้องอยู่ต่อ การเดินหน้าปรับ ครม.ก็จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย” ซึ่งจะส่ง “ภราดร ปริศนานันทกุล” มาชิงตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 ตามโควตาของพรรคฯ

รวมทั้งการทวงเก้าอี้ รมช.ให้ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และการแลกกระทรวงระหว่างพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคเพื่อไทย หรือ แม้แต่การดึงบางส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มาร่วม และปรับพรรคพลังประชารัฐออกหรือไม่ 

“…แต่ถ้าผลออกมาเป็นบวกกับตัวผมเอง ผมก็เดินหน้าที่งานต่อไป แต่ถ้าผลออกมาเป็นลบรักษาการนายกฯ ก็นำแผนงานที่เซตไว้ไปพิจารณาและปรับปรุงตามความเหมาะสม… อันนี้เป็นเรื่องการทำงานทั่ว ๆ ไปมากกว่า ไม่ได้เป็นความแสดงออกมั่นใจหรือไม่มั่นใจอะไร เราทำดีที่สุด และได้ส่งคำแถลงปิดคดีไปแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม” เป็นคำให้สัมภาษณ์ช่วงหนึ่งของนายเศรษฐา ในวันนี้ (13 ส.ค)

หากกระนั้น การวางคิวล่วงหน้า เดินสายออนทัวร์ไปต่างจังหวัดของ “นายเศรษฐา” ตั้งแต่วันที่ 15 -16 ส.ค. โดยมีกำหนดเดินทางไปประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ที่ จ.เชียงใหม่, วันที่ 17-20 ส.ค. มีคิวไปต่อที่ จ.นครนายก-สระบุรี-ชัยนาท -สิงห์บุรี และประชุม ครม.สัญจร จ.พระนครศรีอยุธยา ส่วนวันที่ 21-23 ส.ค. ไป จ.ตาก-เชียงใหม่-เชียงราย และปิดท้ายวันที่ 31 ส.ค. ที่ จ.นครพนม-บึงกาฬ ในแง่จิตวิทยา มองได้ว่า เพื่อไทยต้องการส่งสัญญาณ “รัฐบาล” อาจอยู่ยาวครบเทอม

บนทาง 2 แพร่งต้องจับตาดูอนาคตทางการเมืองของ “นายเศรษฐา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะสิ้นสุดลง หรือจะได้ไปต่อ อยู่จนครบเทอมหรือไม่ แต่หาก “รอด” โอกาสการเปลี่ยนตัวนายกฯท่าม กลางมรสุมการเมือง จาก “นายเศรษฐา” มาเป็น “นายอนุทิน” จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้หรือไม่ ต้องติดตามนัดชี้ชะตาในวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค.)

อ่านข่าว : เปิด 2 แนวทางคดีถอด “เศรษฐา” ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา 14 ส.ค.

“วิษณุ” ชี้แจง “เศรษฐา” ไม่มีสิทธิ “รักษาการนายกฯ” หากศาล รธน. ฟันพ้นตำแหน่ง

ลำดับเหตุการณ์ ก่อนศาลชี้ชะตาคดีคุณสมบัติ “เศรษฐา ทวีสิน”

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่