วันนี้ (15 ส.ค.2567) นายวราวุธ ศิลปอาชา รักษาการ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รักษาการ ถึงการเดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า พูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีข่าวว่า จะมีการเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นคนจากพรรคเพื่อไทย ว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จะสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอ เพราะเป็นสิทธิของพรรคเพื่อไทย และจะดูว่าวันที่ 16 ส.ค.นี้พรรคเพื่อไทยจะเสนอใคร เราจะว่าตามนั้น โดยพรรคชาติไทยพัฒนาจะประชุม สส.พรรค ในเวลา 09.00 น.ก่อนเริ่มการประชุมสภา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนรายชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ มีชื่อของนายชัยเกษม นิติสิริ ทางด้านนายวราวุธ กล่าวว่า จุดยืนของพรรคชาติไทยพัฒนาในการร่วมรัฐบาล คือสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย
และต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลนี้ถือกำเนิดมาจากจุดยืนเดียวกันคือ จะไม่แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งทางพรรคเรายืนยันมาตลอด ทั้งในขั้นตอนการจัดทำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และไม่ไปเกี่ยวข้องกับหมวด 1 หมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ และการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112
เมื่อถามว่า ในวงพูดคุยแกนนำ มีแนวโน้มแคนดิเดตนายกฯ จะเป็นคนนอกพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า “ไม่มีครับ” ยืนยันว่า แกนนำพรรคร่วมจากทุกพรรค จะสนับสนุนแคนดิเดตที่พรรคเพื่อไทยเป็นคนเสนอ
เมื่อถามว่า สัดส่วนโควต้ารัฐมนตรียังคงเป็นเหมือนเดิมหรือว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง นายวราวุธ กล่าวว่า เท่าที่คุย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะองค์ประกอบของรัฐบาล ทุกอย่างเหมือนเดิม และการเสนอชื่อนายกฯ จะเป็นพรรคเพื่อไทยเสนอและสัดส่วน ครม.ของพรรคร่วมยังเหมือนเดิม และเป็นสิทธิของแต่ละพรรคที่จะปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า การไปหารือกับนายทักษิณ ชินวัตร จะทำให้ถูกมองว่า ถูกคนนอกครอบงำหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า การพูดคุยหารือคงไม่ใช่การครอบงำ เพราะอย่าลืมว่านายทักษิณ มีตำแหน่งสำคัญคือเป็นคุณพ่อของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
จึงคิดว่าสิ่งที่พูดคุยกันนั้นท้ายที่สุด หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คงไปหารือกับคุณพ่อ เหมือนกับตนหากพ่อของตนยังอยู่ ถ้ามีอะไรก็คงถามเหมือนกัน และเป็นสิ่งที่ดีที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยมีคุณพ่อเป็นเสาหลัก ให้คำปรึกษา ไม่ถือว่าเป็นการครอบงำ แต่ถือว่าเป็นการพูดคุยมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่การพูดคุยเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นลักษณะที่นายทักษิณ เรียกแกนนำพรรคร่วมไปหารือ นายวราวุธ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพูดเสมอว่า นายทักษิณ มีตำแหน่งสำคัญ คือเป็นพ่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นเรื่องปกติ ที่หัวหน้าพรรคอาจหารือกับคุณพ่อ หรืออาจฝากคุณพ่อ ช่วยดำเนินการบางอย่างซึ่งไปตอบแทนไม่ได้ และเมื่อวันที่ 14 ส.ค. เป็นการไปนั่งกินข้าวพูดคุย เพื่ออัปเดตสถานการณ์การเมือง เนื่องจากหลังมีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการเคลื่อนไหวพอสมควร จึงเป็นเรื่องปกติที่แกนนำพรรคร่วมจะไปรวมตัวพูดคุยกัน
เมื่อถามว่าได้พูดคุยถึงการยกเลิกโครงการเงินดิจิทัลวอลเลตหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ในช่วงที่อยู่ในวงหารือ ไม่มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ แต่การพูดเรื่องนี้เป็นของพรรคแกนนำที่เป็นคนเสนอ ดังนั้นควรให้เกียรติพรรคแกนนำเป็นคนชี้แจงความคืบหน้า และคงต้องรอรัฐบาลใหม่เช่นกัน ซึ่งหลังจากการโหวตเลือกนายกฯ คาดว่า ภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ คงมีการแถลงนโยบาย จึงต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลใหม่ด้วย
เมื่อถามย้ำว่า พรรคชาติไทยพัฒนายืนยันว่า จะสนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเลตต่อไปหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ต้องรอดูรัฐบาลใหม่ ภายใต้นายกฯ คนใหม่ มีแนวนโยบายเป็นอย่างไร โดยต้องให้เกียรติพรรคแกนนำเป็นคนตัดสินใจก่อน แล้วจึงมาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล
ถ้าถามว่า ส่วนตัวควรหยุดโครงการนี้ไปก่อนหรือไม่นั้น ตนขอย้ำว่า เป็นสิทธิของพรรคแกนนำว่า จะเดินหน้าต่อหรือจะมีแนวทางอย่างไร เราเป็นพรรคร่วม ก็สนับสนุนการตัดสินใจของพรรคแกนนำ และคิดว่าในพรรคเพื่อไทยมีนักกฎหมายเยอะมาก คงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ว่าจะเดินหน้าต่อ หรือมีแนวทางอื่น
เพราะรายละเอียดโครงการ คนที่รู้ดีสุดคือพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา เมื่อตกลงทำงานร่วมกันในฐานะพรรคร่วม ดังนั้นไปไหนก็ไปด้วยกัน เดินทางใดก็เห็นพ้องต้องกันไปทางเดียว
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า ตนได้ส่งข้อความทางไลน์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนายเศรษฐาแล้ว เพราะได้ร่วมงานกันมาเกือบ 1 ปี และเห็นถึงความตั้งใจ และความมุมานะในการทำงาน เชื่อว่า หลายคนก็เห็น เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ เราก็เป็นกำลังใจให้กับท่าน และขอบคุณที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกันมาตลอด 1 ปี โดยนายเศรษฐาได้ตอบกลับมาว่าเป็นอิโมจิว่า “ขอบคุณครับ”
นายวราวุธ กล่าวว่า การเปลี่ยนรัฐบาลและเปลี่ยนนายกฯ คนใหม่ แต่แนวนโยบายการทำงานของกระทรวงพม. ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีคนใด หรือหากตนมีโอกาสได้อยู่ที่เดิม หรือมีรัฐมนตรีคนใหม่มา ปัญหาก็ยังเหมือนเดิมอยู่ เพียงแต่ แนวทางแก้ปัญหาของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน และตลอด 11 เดือนของการทำงานที่ผ่านมา ตนได้วางแนวทางไว้ค่อนข้างชัดเจน ที่ฝ่ายราชการคงดำเนินการต่อ แต่จะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูรัฐบาลใหม่อีกที
อ่านข่าว : พลังประชารัฐหนุน “แพทองธาร-ชัยเกษม” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี