สมบัติ ผลัดกันชม ว่าแล้ว “บิ๊กทิน” สุทิน คลังแสง ก็เก็บของลงกระเป๋า อำลาตำแหน่ง รมว.กลาโหม หลังจากอยู่มาเกือบปี ก็ได้เวลาถอดหัวโขน สนามไชย 1 กลับไปเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยร่วมประชุมพิจารณางบประมาณปี 2568 ที่รัฐสภา หลังจากเมื่อวานนี้ (4 ก.ย.2567) ได้มีการถกร่วมกับคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายชั้นนายพลกระทรวงกลาโหม กับ ผบ.เหล่าทัพ เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายโผทหาร แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งหมด จึงต้องรอให้เป็นอำนาจของ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหมคนใหม่
สำหรับโผแต่ตั้งโยกย้ายที่ลงตัวแล้ว ในส่วนของกองทัพบก ที่เสนอโดย “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีรายงานระบุว่า ผ่านฉลุย โดย “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) เป็น ผบ.ทบ. และ “บิ๊กต้น” พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร (ตท.24) รอง ผบ.ทบ ส่วน “บิ๊กชาย” พล.อ.วสุ เจียมสุข (ตท.25) และ “บิ๊กรุ่ง” พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ (ตท.26) เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ขณะที่ “บิ๊กย้อย” พล.ท.ธงชัย รอดย้อย (ตท.25) เป็นเสธ.ทบ.
ส่วนฉลามทัพเรือ แม่สาวแก้มเรื่อ ทหารเรือ ยังไม่ลงตัว พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข (ตท.25) รอง ผบ.ทร.อาวุโสอันดับ 1 ถูกส่งไปเป็น รอง ผบ.ทหารสูงสุด โดย “บิ๊กดุง” พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม จะเสนอชื่อ “บิ๊กแมว” พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ (ตท.23 ) ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือเป็น ผบ.ทร. แต่ยังมีปัญหา ด้วยเหตุมีแคนดิเดตในตำแหน่งหลัก หลายคนอยู่ในไลน์แข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ (ตท.23) ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.ร.อ. วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง (ตท.24) เสนาธิการทหารเรือ คาดว่า อาจต้องรอให้ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม มาเคาะอีกที
ขณะที่ตำแหน่งอื่น ๆ ที่ น่าสนใจ คือ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ (ตท.24 ) ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ไปนั่งตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเตรียมขยับเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม ปี 2568 ส่วน “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ (ตท.24) ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ข้ามห้วยมาเป็น รอง ผบ.ทหารสูงสุด และจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ปี 2568
ได้ฤกษ์ 6 ก.ย.นี้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ฯ และในวันเสาร์ที่ 7 ก.ย. จะมีการนัดประชุม ครม. โดยก่อนการประชุม ครม. จะมีการถ่ายภาพหมู่ ครม.ทั้งคณะ ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า แม้จะมีเสียงวิจารณ์ขรมว่า ตั้งลูกหลานเป็น รมต.และประวัติรัฐมนตรีบางคน แต่ “ภูมิธรรม” ชี้แจงว่าเป็นไปตามกระบวนการ อย่าไปคิดแบบนั้น หากเป็นแบบเดิมคงเรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะมีคำว่าหลักจริยธรรม หรือ ตีความมาก ทำให้เกิดการเสียเวลา
“มีหลายคนคิดว่าไม่อยากให้เป็นประเด็น จึงเอาลูกหลาน คนรู้จัก คนมีความสามารถ เข้ามาทำงานแทน ซึ่งไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลจะทำให้คนเก่ามีปัญหา … แต่ไม่อยากให้เอาคำว่า ครอบครัวมาเกี่ยวข้อง เพราะวันนี้ วัดคนที่ความสามารถเข้ามาทำงาน ใครมีความสามารถ จะคนในครอบครัว หรือคนคิดเห็นไม่เหมือนกัน หากมีศักยภาพก็เอาเข้ามาทำงาน”
ยังร้องไม่เลิก “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บุก กกต. ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ใน 2 ประเด็น คือ กรณีเป็นกรรมการบริษัท 20 แห่ง ของน.ส.แพทองธาร ที่ยื่นออกลาจากกรรมการบริษัท ในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งมีผลทันทีตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 1153/1 แก้ไขเมื่อปี 2549 ซึ่งยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้แก้ไขเรื่องการลาออกจากกรรมการบริษัทไว้ว่า การจะลาออกให้ยื่นหนังสือไปที่บริษัท
หรือจะยื่นต่อนายทะเบียนก็ได้ ส่วนการไปจดทะเบียนจะอยู่ในอีกมาตรา คือ ว่าถ้ามีกรรมการลาออกแล้ว กรรมการที่เหลือ มีเวลาไปจดแจ้งอีก 14 วัน ดังนั้นหนังสือเอกสารที่คัดมา 20 บริษัทรวมกว่า 100 หน้า มายื่นต่อ กกต.
จึงมีข้อสังเกตว่า น.ส.แพทองธาร ไปยื่นลาออกที่บริษัท ที่ตั้งอยู่ใน 4 จังหวัด 14 บริษัทแรกที่ กทม., 2 แห่งที่ปทุมธานี มีสนามกอล์ฟอัลไพน์ด้วย, 1 บริษัทที่นครราชสีมา, 3 แห่งที่ลำพูน โดยยื่นด้วยตัวเองในวันที่ 15 ส.ค. ภายในวันเดียวได้อย่างไร
ประเด็นที่ 2 เรื่องจริยธรรม “เรืองไกร” ตั้งคำถาม ว่า นายกรัฐมนตรี ยินยอมให้ ทักษิณ ชินวัตร บิดา มาครอบครองตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องพ่อ ลูก แต่เป็นเรื่องของนายกฯ ของแผ่นดินยอมไม่ได้ เพราะอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ความแพ่งของ น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์ โดยได้คัดคำร้องในเรื่องจริยธรรม ข้อ 8 เรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ให้คนอื่นยินยอมรับหรือไม่
ไม่ใช่เรื่องครอบงำที่จะไปร้องยุบพรรค เพราะยังอ่านคำวินิจฉัยเต็มจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่อันนี้มีเหตุควรแก่การยื่นตรวจสอบแล้ว
เรืองไกร ระบุว่า คำว่า ครอบงำอยู่ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 แต่ไม่มีคำว่าครอบครอง ในกฎหมายดังกล่าว จึงต้องยกคำพิพากษาศาลฎีกา และพจนานุกรมให้ กกต.ไปดูว่าคำว่า ครอบครองหนักกว่าหรือไม่ และคำว่าครอบครองไม่สามารถร้องในมาตรา 28 เพราะไม่มีบัญญัติคำนี้ จึงไม่สามารถไปขยายความกฎหมายเองได้ แต่จะต้องไปปรับกับมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งมีกำหนดข้อห้ามไว้ 22 ข้อ ซึ่งรัฐมนตรีใหม่ ได้มีการตรวจสอบแน่ ไม่ได้ร้องแค่นายกฯ คนเดียว แต่จะร้องหมดทุกฝ่าย
รัฐบาลแพทองธาร เพิ่งจะเริ่มต้น แต่ผู้ร้องเรียน ยังคงทำงานต่อเนื่อง นับคำร้องที่มุ่งตรงไป กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช.คราวขณะนี้ปาเข้าไป 8 เรื่องแล้ว น่าจับตายิ่งนัก
อ่านข่าวเพิ่ม :
“ภูมิธรรม” ไร้กังวลคุมกลาโหม จำไม่ได้ภาพสหายใหญ่ 50 ปีก่อน
“เอกนัฏ” โต้ปมถูกวิจารณ์เปลี่ยนจุดยืนนั่ง รมว.อุตสาหกรรม
ไทม์ไลน์ ครม.แพทองธาร เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ 6 ก.ย.ประชุมนัดพิเศษ 7 ก.ย.