ต้องยอมถอย แม้ใจจะยังอยู่ที่เดิม แม้ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะออกมาโบ้ยเรื่องการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ประเด็นกรอบจริยธรรม เกิดจากหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่เป็นผู้ริเริ่มว่าเรื่องนี้จบแล้ว ไม่มีอะไร และ พรรคร่วมรัฐบาล ยังไม่ได้คุยกันก็จริง
หากสำรวจทีท่าของ “มท.หนู” อนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ที่ออกมาปฏิเสธทันควันว่า หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ ไม่ใช่ตนเอง และเราก็ไม่เคยกลับลำ ซึ่งการทำงานก็ต้องมีการหารือกัน โดยเมื่อวานก็มีการหารือกัน และเห็นว่าเรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วน ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติที่ส่ง “บุ๊ง” อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรคฯ ออกมาแถลงจุดยืน ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง ทำให้เพื่อไทย ถึงกับต้องใส่เกียร์ถอยไปตั้งหลักใหม่
งานนี้จะเป็นแผนแดงร่วมส้ม “ต้ม” เหลือง หรือไม่ก็ตาม แต่ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชำแหละ 4 เหตุผลที่เพื่อไทยถอยว่า
ยังไม่ทันถึงปากซอย โชเฟอร์เพื่อไทยก็ถอดใจหันพวงมาลัยกลับจนคนซ้อนท้าย อย่างพรรคประชาชนไปต่อไม่ถูก
โดยระบุว่า มี 4 เหตุผลที่พอเข้าใจได้ คือ
1.ประชาชนไม่เอาด้วย เพียงแค่โยนหินถามทาง ก็โดนขว้างก้อนอิฐสวนว่า แก้เพื่อตนเอง ไม่เข้าท่า
2.พรรคร่วมเอาหล่อ การมองกระแสสังคมออก เดินต่อได้ยาก จึงออกมาเอาหล่อ ด้วยการทยอยแถลงจุดยืนไม่เอาด้วย ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติที่เสียงแข็ง หรืออ้อมแอ้มแบบประชาธิปัตย์
3.โอกาสผ่านวาระหนึ่งยาก เนื่องจากต้องใช้เสียงเกินครึ่งของที่ประชุมรัฐสภา และในจำนวนดังกล่าวต้องมี สว.เห็นชอบด้วย 1 ใน 3 หรือ 67 คนขึ้นไป โดยโฟกัสได้ที่ สว. สายสีน้ำเงิน มีแนวโน้มไม่เอาด้วย
4.กรอบเวลาที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
หากจะทำประชามติให้ทันต้นเดือน ก.พ.2568 ที่ประชุมรัฐสภา ต้องผ่าน 3 วาระให้ทันในสมัยประชุมนี้ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ต.ค.2567 เพราะตาม กม.ประชามติ ต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนวันลงประชามติ ซึ่งหากจะจัดพร้อมกับการเลือก ส.อบจ. ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 2 ก.พ.2568 ประธานรัฐสภาต้องส่งเรื่องถึง ครม. ภายในวันที่ 4 ธ.ค.2567
เมื่อทำไปก็ไม่หล่อ เวลาจะทำก็ไม่ทัน เพื่อนก็ชิงหล่อไปแล้วหลายพรรค เนื้อไม่ได้กิน เรื่องอะไรจะเอากระดูกมาแขวนคอ
มองขาด ไม่ต่างจาก “เทพไท เสนพงศ์” อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ไอ้เสือถอย!!!” ระบุว่า เคยเสนอความเห็น ไม่ควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราคู่ขนานไปกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หากพรรคเพื่อไทยมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยจริง ตามที่เคยประกาศไว้สมัยเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องรีบเร่งผลักดัน ให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง ไม่ใช่ซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ หวังที่จะให้นำเอาวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกันวาระอายุของรัฐบาล ต้องการอยู่ให้ครบวาระ 4 ปี
ควรเริ่มต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเร่งทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชน และเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยปราศจากเงื่อนไข ขอให้ ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง เป็นคนกำหนดกรอบ เงื่อนไข และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญทั้งหมด เพราะเป็นผู้ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยึดโยงกับประชาชน เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
เทพไท บอกว่า หากยังดึงดันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา โดยเฉพาะประเด็นประมวลจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจจะนำมาสู่ความขัดแย้งของสังคมอีกครั้งหนึ่ง
และจะเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สมัยออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย หรือเหมาเข่ง เพื่อต้องการล้างผิดให้คนโกง
ไม่หยุด “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย และอดีต สส.พรรคเพื่อไทย ออกมาเปิดโพย สถิติการเข้าประชุมที่ผ่านมาของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.2566 – 19 ก.ย.2567 ว่ามีการประชุมทั้งหมด 95 ครั้ง ขาดประชุม 84 ครั้ง เฉพาะช่วงวันที่ 3 ก.ค.2567 – 19 ก.ย.2567 ช่วงระยะเวลา 3 เดือน มีการประชุม 27 ครั้ง แต่ผลการมาประชุมของ พล.อ.ประวิตร เป็นศูนย์
และช่วงวันที่ 13 ธ.ค.2566 – 3 เม.ย.2567 มีการประชุม 33 ครั้ง เข้าประชุม 4 ครั้ง ขาดประชุม 29 ครั้ง ซึ่งในใบลาอ้างติดภารกิจ โดย “พร้อมพงศ์” ระบุว่าเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มภาษีประชาชน ไม่ได้ทำหน้าที่ ตัวแทนประชาชนอย่างเต็มที่
อ่านข่าว
เหนือเตรียมรับมือ! 4 เขื่อนใหญ่ระดับน้ำล้นขั้นวิกฤต
จับตาลายพรางหลัง “บิ๊กต่อ” เกษียณ สมช.เบียดแรง “ฉัตรชัย” อาจชวด
ยกฟ้อง “ชาญ” อุทธรณ์ค่าสินไหม 2.3 ล้านคดีเครื่องออกกำลังกาย
“บิ๊กต่อ” โบกมือลา ผบ.ตร. รอเคาะ “พิทักษ์ 1” คนใหม่หลัง 5 ต.ค.