วันนี้ (24 ต.ค.2567) นาง ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และอดีตผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ กล่าวถึงกรณีคดีตากใบ ที่จะหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค.นี้ ว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ได้ติดตาม เรียกร้องความเป็นธรรมมาตลอด ชาวบ้านได้มาหาคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตั้งแต่ชุดที่ 1 จนถึงปัจจุบัน และทาง กมธ.ได้พยายามหาความเป็นธรรมให้กับคนที่เสียชีวิตมาตลอด
อ่านข่าว : ไทม์ไลน์แห่งความเจ็บปวด “ตากใบ” กับ 85 ชีวิตที่ไร้คนรับผิดชอบ
วันนี้ค่อนข้างประหลาดใจความเห็นของกฤษฎีกาที่มองว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนต่อความมั่นคง ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวพันโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการการปฏิบัติงานของรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
อีกทั้งกฤษฎีกายังระบุว่าขัดต่อกฎหมายอาญาสากล ซึ่งในความเป็นจริงกฤษฎีกาควรมองหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เพราะประเทศไทยเองเป็นภาคีอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ และคดีที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มีผู้เสียหายจำนวนมากต้องเป็นคดีที่ไม่มีอายุความ
อ่านข่าว : เปิดเอกสารกฤษฎีกา ตอบปมตราพ.ร.ก.”คดีตากใบ” ไม่เข้าเกณฑ์รัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติแถลงการณ์ โดยระบุว่า อายุความของคดีต้องไม่ปฏิเสธความยุติธรรมที่มีต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากกรณีตากใบ ครอบครัวของผู้เสียหายต่างรอคอยเป็นเวลาเกือบสองทศวรรษเพื่อความยุติธรรม เราเรียกร้องให้รัฐบาลกระทำการอย่างเร่งด่วนเพื่อมิให้เกิดความล่าช้าของการรับผิดรับชอบอีกต่อไป และเพื่อให้สิทธิการรับรู้ความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยาได้รับการเคารพ
การชดใช้เยียวยาให้เงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเยียวยาความยุติธรรมด้วย
อ่านข่าว : ตัวแทนสหประชาชาติหวั่น “คดีตากใบ” สูญเปล่าเมื่อขาดอายุความ
20 ปีที่หายไป
สังเกตว่าหลังจากที่ศาลมีคำสั่งไต่สวน 2552 -2567 เกือบ 15 ปีที่ไม่มีการดำเนินการอะไร ซึ่งอัยการไม่เฉลียวใจที่พนักงานไม่ส่งสำนวน ในคดีที่มีผู้เสียชีวิต 85 คน ระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ อัยการไม่เคยเร่งรัดคดี 15 ปีหายไปไหน รัฐไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย
นางอังคณา ยังระบุว่าจากเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่ามีการเลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมาย เมื่อเจ้าหน้าที่กระทำผิดเจ้าหน้าที่ไม่เคยได้รับโทษ แม้แต่การนำเจ้าหน้าที่ขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมยังเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อประชาชนกระทำผิดกลับต้องรับโทษ เป็นความเหลื่อมล้ำในการปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก และถือว่าเป็นการเยียวยาที่สำคัญที่สุดตามหลักสากล
โดยการตีความตามตัวอักษรของกฤษฎีกาตีไม่ใช้ข้อเท็จจริงมาเป็นดุลยพินิจในการตีความด้วย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงกับสถานการณ์ความเปราะบาง จึงเป็นข้ออ้างที่ทำให้ไม่สามารถออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ได้ นางอังคณาระบุว่ากรณีนี้ต้องแยกกันระหว่างคดีอาญาปกติ กับคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ซึ่งกฎหมายสิทธิมนุษยชนมองเรื่องนี้ต่างกัน อาญาปกติก็ต้องมีอายุความ แต่กฎหมายสิทธิมนุษยชนระบุชัดเจนว่า กรณีที่รัฐเป็นผู้ละเมิดและทำให้เกิดเกิดการสูญเสียของประชาชนผู้คนจำนวนมาก กฎหมายเหล่านี้ไม่มีอายุความ
แนวทางสู้ต้องหลังออก พ.ร.ก.เป็นไปไม่ได้
กลไกระหว่างประเทศ ยังมีอำนาจศาลระหว่างประเทศ Universal Jurisdiction ซึ่งในประเทศสหภาพยุโรปให้กฎหมายนี้อยู่ในหลายประเทศซึ่งหากผู้ต้องหาอยู่ในประเทศ รัฐบาลอังกฤษอาจไม่ส่งตัวผู้ต้องหากลับมา กรณีที่ศาลไทยส่งข้อกล่าวหาไปให้ รัฐบาลอังกฤษสามารถนำตัวผู้ต้องหาขึ้นศาลอังกฤษ และใช้กฎหมายอังกฤษในการพิจารณาตัดสินได้ เช่นเดียวกันหากมีการร้องเรียนจากญาติ หรือผู้มีส่วนได้เสีย อำนาจศาลระหว่างประเทศสามารถพิจารณา และไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ
นอกจากนี้นางอังคณา ระบุว่ารู้เสียใจที่นายกรัฐมนตรี ระบุทำนองว่าไม่มีทางทำอะไรแล้ว รัฐบาลทำเต็มที่ เยียวยาแล้ว ซึ่งสิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเห็นอกเห็นใจ สิ่งที่น่าจะทำมากที่สุดคือ อยากให้นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับคนที่เป็นแม่ ที่ต้องสูญเสียลูก คนพิการจากเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าผ่านมา 20 ปี ต้องเผชิญกับอะไรบ้างโดยเฉพาะความทนทุกข์ทรมานทางจิตใจ ซึ่งตนยินดีที่จะพาไป และไปฟังเสียงของชาวบ้านจริงๆ และทำอย่างไรที่จะช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับความยุติธรรม
20 ปีต้องไม่สูญเปล่า
นางอังคณา กล่าวว่าถ้าสุดท้ายแล้วคดีหมดอายุความ รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้คดีละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงต้องไม่มีอายุความ รวมทั้งแก้ไขนิยามคำว่า “ผู้เสียหาย” ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.อุ้มหาย และสร้างกลไกป้องกันโดยการมีกฎหมายว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงต้องไม่มีอายุความรวมถึงการให้สัตยาบันว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
เพื่อไม่ให้ 20 ปีต้องสูญเปล่า
อ่านข่าว :